Saturday, June 30, 2012

มีเลือดออกทางทวารทำไง

ผมเชื่อว่าหลายคนอาจมีปัญหามีเลือดออกจากทวารหนัก 
ไม่รู้ว่าเกิดจากกอะไรเกิิดอาการกลัวซึ่งก็ทำให้เราไปตรวจที่ โรงพยาบาล ก็จะได้คำตอบกันมาแต่ว่าหากเรารู้ได้ก่อนว่าสาเหตนั้นเกิดจากอะไรเราก็จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดได้ครับ
ในวัยรุ่น ที่พบได้คือ
รูทวารฉีกขาด สาเหตุก็เกิดจากการที่ถ่ายท้องผูก การเบ่งถ่าย ความเครียด หรือการล้วงทวารหนักหรือมีการสอดอุปกรณ์หรืออื่นๆเข้าไป
ริดสีดวงทวาร ก็เกิดได้จากการที่มีท้องผูกนานมีการเบ่งถ่าย การยกของหนัก การยืน การนั่งนานหากเป็นในผู้สูงอายุก็เกิดจากการที่มีโรคประจำตัวเช่นโรคทางเดินหายใจ โรคต่อมลูกหมากโต โรคตับ
ในผุ้ใหญ่ต้องคำนึงว่าอาจมีสาเหตุจากมะเร็งได้ แต่ก็มีโรคอื่นเช่นโรคหลอดเลือดทีผิดปกติในลำใส้โรคเลือดออกจาก ถุงโป่งพองของลำใส้ หรือโรคที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น
ดังนั้นเมื่อมีอาการเลือดออก จึงควรไปพบแพทย์ครับ

Thursday, June 28, 2012

Jelly Bean แอนดรอยด์เวอร์ชั่นล่าสุด





android

ที่งาน Google I/O 2012 วันแรกกูเกิลได้เปิดตัว Android 4.1 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดหรือที่มีชื่อเรียกว่า Jelly Bean (JB) ถึงแม้จะเป็นเพียงอัพเดทเวอร์ชั่นย่อย (ต่อจาก Android 4.0) แต่ก็ถือว่าใน Android 4.1 นี้มีการปรับปรุงให้การทำงานโดยรวมของระบบให้ดีขึ้น เร็วขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ เข้ามาอีกหลายตัวด้วยกันครับ ผมจะขอสรุปเฉพาะหัวข้อที่และฟีเจอร์น่าสนใจเกี่ยวกับ Android 4.1 ให้ชมด้านล่างครับ :)

 ทำงานได้ลื่นกว่าเดิม

ใน Android 4.1 ได้มีการปรับปรุงกลไกการทำงานภายในของระบบให้สามารถทำงานได้เร็วและลื่นขึ้น มากกว่าใน 4.0 อย่างชัดเจน (ดูวรดิโอเปรียบเทียบด้านล่าง)
วีดิโอเปรียบเทียบความเร็วระหว่าง ICS กับ JB

 ปรับปรุงหน้าตาใหม่ สวย&คมกว่าเดิม

ระบบจัดการ Widget แบบใหม่

สามารถจัดวาง ลากย้าย Widget ต่างๆ ได้ตามใจชอบ

ปรับปรุงแอพถ่ายภาพใหม่

โดยให้ตัวแอพถ่ายภาพสามารถถ่ายภาพ/ดูภาพพรีวิวได้ลื่น และไวกว่าเดิม

คีย์บอร์ดแบบใหม่

ระบบคีย์บอร์ดแบบใหม่มีฟีเจอร์การเดาคำศัพท์ที่เราต้องการจะพิมพ์ เพื่อช่วยให้พิมพ์ไวยิ่งขึ้น

ระบบพิมพ์ตามเสียงคำสั่ง

นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากครับ โดยเราสามารถพูดแล้วให้มือถือพิมพ์ตัวอักษรตามเราได้ และที่สำคัญคือ รองรับเสียงพูดและตัวอักษรภาษาไทย !! แถมยังไม่ต้องต่อเน็ตขณะใช้งานอีกด้วย

ระบบค้นหาแบบใหม่

สามารถค้นหาและรับคำสั่งได้ด้วยเสียงพูด ซึ่งตัวระบบจะมีการตอบคำถามได้ฉลาดกว่าเดิม (คู่แข่ง Siri)

Google Now

ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด ที่จะแนะนำสิ่งที่เราควรจะรู้ในสถานที่ที่เราต้องการไป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของการจราจร ร้านอาหาร เที่ยวรถ/เที่ยวบิน เป็นต้น
วีดิโอแนะนำ Google Now
สำหรับ Android 4.1 จะปล่อยอัพเดทให้กับเครื่อง Galaxy Nexus และ Nexus S ในช่วงเดือนกรกฏาคมนี้ ส่วนของค่ายอื่นๆ ก็แล้วแต่ค่ายนั้นจะออกอัพเดทมาให้ครับ 

Friday, June 15, 2012

การทำ Ringtone อย่างง่ายด้วย iTunes



1อันดับแรกเปิดโปรแกรม iTunes ขึ้นมา และทำการเลือกเพลงที่เราต้องการ
ringtone-01

ringtone-02
2หลัง จากนั้น ให้กดเล่นเพลงที่ต้องการไปจนถึงท่อนที่เราต้องการที่จะเริ่มเป็น Ringtone และให้สังเกตวินาทีของเพลงนั้นๆว่าเล่นไปกี่วินาทีแล้ว (วินาทีที่เราต้องการจะเริ่มต้นเป็น Ringtone นั่นเอง)
3ทำการคลิกขวาที่ชื่อเพลง เลือก Get Info เลือกแถบ Options ด้านบน
ringtone-03
4ทำ การติ๊กถูกในกล่องหน้า Start Time และ Stop Time และใส่วินาทีเพลงที่ต้องการเริ่มต้นจนถึงที่ต้องการ โดยหน่วยจะเป็น [ นาที : วินาที ]
** โดย Ringtone มีความยาวได้สูงสุด 40 วินาทีเท่านั้น **
หลังจากตัดเสร็จแล้ว ทำการกดปุ่ม OK
5ใน ขั้นตอนนี้ สามารถลองฟัง Ringtone ที่เรากำลังตัดอยู่ได้โดยการดับเบิ้ลคลิกที่เพลง ( หากไม่พอใจ สามารถกด Get Info กลับไปแก้ไขได้ ) หากพอใจแล้วให้คลิกขวาที่ชื่อเพลงที่ตัดสำเร็จแล้ว เลือก Create ACC Version
ringtone-04
หากไม่มีเมนูนี้ให้คลิกแถบ Advanced ด้านบนแล้วเลือก Create ACC Version แทน
ringtone-05
จากนั้นจะสังเกตเห็นว่าจะมีไฟล์ที่ได้จากการสร้างเมื่อสักครู่ โดยจะมีความยาวเท่ากับเวลาที่เราเลือกใว้ขั้นต้น
6คลิกขวาไฟล์ที่ได้ และเลือก Show in Finder ( Windows ให้เลือก Show in Windows Explorer ) จะเห็นไฟล์ที่มีนามสกุล .m4a
ringtone-06
สำหรับผู้ใช้ Windows ที่มองไม่เห็นนามสกุลไฟล์ สามารถดูวิธีการตั้งค่าได้จากลิงค์นี้
[ Link : http://support.microsoft.com/kb/978449/th/ ]
ringtone-07
7ทำการเปลี่ยนนามสกุลโดยการคลิ๊กขวา เลือก Rename เป็น .m4r
ringtone-08
โดย เมื่อเปลี่ยนนามสกุลไฟล์แล้ว iTunes จะไม่รู้จักไฟล์เก่าที่เกิดจากการ Create ACC Version ข้างต้น ให้ลบด้วยการคลิ๊กขวาที่ไฟล์ แล้วเลือก Delete ได้ทันที
ringtone-09
8ทำการ Double Click จากนั้น iTunes จะทำการเพิ่ม Ringtone เข้าไปในหมวด Ringtone ของเรา
9เชื่อมต่อ iPhone กับ iTunes แล้วทำการ Sync Ringtone
ringtone-10
10เมื่อ Sync เสร็จแล้ว สามารถตั้งค่า Ringtone ใน iPhone ได้จาก Settings > Sounds > Ringtone
ringtone-11

มือใหม่กับ การตั้งค่า iPhone เบื้องต้น



เพื่อนๆที่ได้ซื้อ iphone มาใหม่ๆไม่รู้ว่าจะจัดการกับมือถืออย่างไร ผมขอแนะนำวิธีการจัดการการตั้งค่าเบื้องต้น ซื่งที่มาผมได้อ่านมาจาก http://www.iphone4society.com/tips/ten-basic-iphone-setting
10 การตั้งค่า iPhone เบื้องต้น
การใช้งาน iPhone ถึงจะวางมาค่อนข้างง่าย มีค่าเบื้องต้นที่ค่อนข้างโอเค แต่การใช้งานจริง ในหลายๆครั้ง การตั้งค่าของเครื่อง จุดเล็กจุดน้อย อาจเป็นเส้นผมบังภูเขาที่ทำให้ผู้ใช้อาจไม่เข้าใจตัวเครื่อง เพราะฉะนั้น เลยขอแนะนำการตั้งค่าตัวเครื่องสิบอย่าง ที่ช่วยให้การใช้งานลงตัวขึ้น
การใช้งาน iPhone ถึงจะวางมาค่อนข้างง่าย มีค่าเบื้องต้นที่ค่อนข้างโอเค แต่การใช้งานจริง ในหลายๆครั้ง การตั้งค่าของเครื่อง จุดเล็กจุดน้อย อาจเป็นเส้นผมบังภูเขาที่ทำให้ผู้ใช้อาจไม่เข้าใจตัวเครื่อง เพราะฉะนั้น เลยขอแนะนำการตั้งค่าตัวเครื่องสิบอย่าง ที่ช่วยให้การใช้งานลงตัวขึ้น

1วางแผนพลังงาน ตั้งแบตเตอรี่เป็น %

การแสดงผลแบตเตอรี่ของ iPhone ที่มาแบบแท่ง ถ้ามองกันผ่านๆ ก็ถือว่าเล็งยากอยู่ว่าใช้แบตเตอรี่ไปเท่าไหร่แล้ว การตั้งให้ iPhone แสดงผลแบตเตอรี่เป็น % จะช่วยให้ผู้ใช้ สามารถดูได้ชัดเจนว่า แบตเตอรี่ตัวเครื่องใช้งานไปขนาดไหนแล้ว วิธีตั้งค่า เข้าไปที่ Setting-->General-->Usage-->เลือกหัวข้อ Battery Percentage เป็น ON
วางแผนพลังงาน ตั้งแบตเตอรี่เป็น %
หลังจากนั้น ด้านซ้ายของแบตเตอรี่ จะแสดงผลจำนวน % ของแบตเตอรี่

2ปิดการค้นหา 3G เพราะเราไม่มี 3G ใช้

ความสามารถ 3G ของ iPhone มีตั้งแต่รุ่น 3G แต่เป็นที่รู้กันว่า ประเทศไทยเรานั้น อนาคตด้าน 3G มันมีแค่ครึ่งใบจริงๆ (พูดไปก็เศร้า) หากใช้งานกับนอกพื้นที่ 3G หรือเครือข่ายหลักที่ใช้งาน ไม่มี 3G ให้ใช้งาน การเปิดให้ iPhone หาคลื่น 3G ทั้งที่ใช้งานไม่ได้ ทำให้ iPhone ทานพลังงานแบบสูญเปล่า การปิดการค้นหาคลื่น 3G ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกทาง วิธีตั้งค่า เข้าไปที่ Setting-->General-->Networks-->เลือกหัวข้อ Enable 3G เป็น Off
ปิดการค้นหา 3G เพราะเราไม่มี 3G ใช้
หลังจากนั้น สัญญาณเครื่องจะทำการค้นหาใหม่ และขึ้นแค่ EDGE เท่านั้น

3ปิดการใช้งาน data ถ้าโปรเรามีจำกัด

หลายๆคนที่ใช้ iPhone แต่ไม่มีโปร data ติดเครื่อง หรือมีแต่ก็เล็กน้อย การปล่อยให้ iPhone สูบ data ไปเกินกว่าที่ใช้ ปลายเดือนอาจเจอค่าใช้จ่าย data ที่รั่วจนทำให้ผู้ใช้เป็นลมได้ เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม การปิดการใช้งาน data จะช่วยให้ App หรือ Game บางตัว ที่แอบต่อ data เอง ไม่ทำงาน วิธีตั้งค่า เข้าไปที่ Setting-->General-->Networks-->เลือกหัวข้อ Cellular data เป็น Off
ปิดการใช้งาน data ถ้าโปรเรามีจำกัด
หลังจากนั้น เครื่องหมายแสดงสถานะสัญญาณ data ที่จับไว้ได้ ไม่ว่าจะ o / E / 3G จะหายไปทันที หากต้องการใช้งาน ก็ให้กลับไปเลือกที่ Cellular data เป็น On เหมือนเดิม เมื่อใช้งานเสร็จ กลับไปปิดได้เหมือนเดิม

4เลือก Notifications แล้วการเตือนหน้าจอจะไม่เกินจำเป็น

ระบบแจ้งเตือนต่างๆใน iPhone เป็นส่วนนึงของการใช้งาน ที่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับการโต้ตอบได้รวดเร็ว แต่การแสดงหน้าต่างแจ้งเตือนของ iPhone ที่โผล่พรวดกลางจอ หลายๆครั้ง อาจสร้างความรำคาญให้โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น จึงควรเลือกเปิดเฉพาะที่คิดว่าใช้งานจริงๆเท่านั้น วิธีตั้งค่า เข้าไปที่ Setting-->Notifications---> หากต้องการปิดทั้งหมด เลือกหัวข้อ Notifications เป็น Off แต่ถ้าถ้าต้องการปิดแค่บางตัว ให้แตะเข้าไปที่ App ที่ต้องการ แลัวเลือก Alertเป็น Off
เลือก Notifications แล้วการเตือนหน้าจอจะไม่เกินจำเป็น เลือก Notifications แล้วการเตือนหน้าจอจะไม่เกินจำเป็น
บาง App จะมีหัวข้อการตั้งค่าของ App เอาไว้ เมื่อเข้าไปดู ในหัวข้อ Notifications ของ App เหล่านั้น ก็สามารถสั่งปิดการเตือนโดยตรงได้เช่นกัน

5Push Mail พอประมาณ ประหยัดพลังงานและโปรโมชั่น

การใช้งาน Mail ความสามารถในการดูดเมล์เข้าเครื่องอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ทำให้ Smart Phone ได้รับความนิยมในการใช้งาน ใน iPhone ก็ทำได้เช่นกัน แต่การตั้งให้ดูดเมล์ ผลที่ตามมาคือ แบตเตอรี่ที่กินมากขึ้น ค่าใช้จ่าย EDGE ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะทั้งหมดมีการทำงานแม้นขณะดับจอเอาไว้ เพื่อให้การใช้งาน การตั้งค่า Push ของ Mail เข้าไปที่Setting-->Mail,Contact,Calendars-->Fetch New Data-->หากต้องการปิด Push ให้เลือกหัวข้อ Push เป็นOff
Push Mail พอประมาณ ประหยัดพลังงานและโปรโมชั่น
หากต้องการตั้งเวลาในการ Refresh ตัวกล่องจดหมาย ให้เลือกที่หัวข้อ Fetch จะเลือกเช็คได้ตั้งแต่ทุก 15 นาที / 30 นาที / 1 ชั่วโมง / เช็คด้วยตัวเอง
Push Mail พอประมาณ ประหยัดพลังงานและโปรโมชั่น
หากกล่องจดหมายไหนที่ต้องการปิด Push ให้เลือกที่หัวข้อ Advance เลือกที่กล่องจดหมายที่ต้องการ และตั้งปิดได้ทันที

6ปรับความสว่างจอ ได้ทั้งสายตา ได้ทั้งพลังงาน

การแสดงผลหน้าจอ ความสว่างหน้าจอ มีผลต่อพลังงานของเครื่อง หากตั้งไว้สว่าง ก็จะกินไฟมาก ตั้งไว้มืด ถึงกินไฟน้อย แต่ก็อาจไม่สบายตาเท่าที่ควร การตั้งค่าหน้าจอ ไปที่ Setting-->Brightness-->แถบปรับความสว่างหน้าจอ หากเลื่อนไปทางซ้าย จะเป็นลดความสว่าง เลื่อนไปทางขวา จะเป็นเพิ่มความสว่าง
ปรับความสว่างจอ ได้ทั้งสายตา ได้ทั้งพลังงาน

7Multitask ไม่ได้มีไว้เปิดค้าง หมั่นปิดเครื่องเพื่อลดภาระเครื่อง

การใช้งาน Multitask ใน iPhone ที่อัพเดทเป็น iOS4 การเข้าลูกเล่นต่างๆ การกดออก ไม่ได้เป็นการออกจริงๆอีกต่อไป เพราะลูกเล่นเหล่านั้น ซ่อนการทำงานไว้ข้างหลัง การกดปุ่ม Home สองครั้ง หน้าจอด้านล่างจะแสดงการใช้งานทั้งหมด
Multitask ไม่ได้มีไว้เปิดค้าง หมั่นปิดเครื่องเพื่อลดภาระเครื่อง Multitask ไม่ได้มีไว้เปิดค้าง หมั่นปิดเครื่องเพื่อลดภาระเครื่อง
ให้แตะที่ไอคอนค้างไว้จนสั่น เครื่องหมายลบจะแสดงที่มุมซ้ายบนของไอคอน เมื่อแตะเครื่องหมายลบ จะเป็นการปิด App หรือลูกเล่นแบบปิดจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ปิดให้เหลือแค่เท่าที่ใช้ จะช่วยทำให้เครื่องทำงานเร็วสม่ำเสมอ และลดอาการแบตเตอรี่หายอย่างไร้สาเหตุ
นอกจากนี้ การเลือกเปิด Auto Brightness จะช่วยให้การแสดงผลหน้าจอในบางสภาพแสง กำลังดีกับสายตา และช่วยประหยัดพลังงานด้วยเช่นกัน

8ปรับแต่งเสียงเตือนต่างๆ เพื่อลดความรำคาญเฉพาะบุคคล

บางครั้ง เสียงคีย์บอร์ดต็อกๆแต๊กๆ เสียงเตือน เสียงประกอบต่างๆ อาจสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้าง หรือผู้ใช้ก็อาจรำคาญซะเอง การปรับตั้งเสียงประกอบต่างๆ ไปที่ Setting-->Sounds-->ในหัวข้อ Ring เลือกเปิดหรือปิดเสียงต่างๆได้ทันที ไม่ว่าจะเสียงเตือนข้อความ / E-Mail / เสียงคีย์บอร์ด / เสียงล็อกหน้าจอ ปลดล็อกหน้าจอ
ปรับแต่งเสียงเตือนต่างๆ เพื่อลดความรำคาญเฉพาะบุคคล
บางที เสียงเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยให้บรรยากาศสงบ ทำให้คนรอบข้างไม่รำคาญได้เช่นกัน

9ตั้งค่าข้อความ จะได้ไม่พิมพ์เพลิน

การพิมพ์ข้อความใน iPhone โดยปกติ หากเป็นมือถือเก่าที่เคยใช้กันมา เวลาพิมพ์จะมีนับตัวอักษรว่าพิมพ์ไปเท่าไหร่ แต่ใน iPhone จะไม่มีให้ วิธีตั้งค่า ไปที่ Setting-->Messangers-->เลือก Character Count เป็น On หลังจากนั้น ในหน้าจอขณะพิมพ์ข้อความ เมื่อพิมพ์จนถึงบรรทัดที่สองของกรอบข้อความ เหนือไอคอน Send จะแสดงจำนวนตัวอักษรที่เหลือให้อัตโนมัติ
ตั้งค่าข้อความ จะได้ไม่พิมพ์เพลิน ตั้งค่าข้อความ จะได้ไม่พิมพ์เพลิน
เท่านี้ เวลาพิมพ์ จะไม่เกิดอาการเพลิน ส่งแล้วเกิน เกินแล้วงงตอนปลายเดือนว่า ทำไม SMS มันหมดเร็ว

10ตั้งค้นหา Wi-Fi อัตโนมัติ สัญญาณหลุด หาให้ใหม่ทันที

การเชื่อมต่อ Wi-Fi ของ iPhone หากการใช้งานที่บ้าน ที่ทำงาน ถ้าเป็น Hotspot ที่ต่อประจำ ไม่ว่าจะใส่รหัส หรือไม่ต้องใส่รหัส การเชื่อมต่อจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ เมื่อเวลาออกจากที่ๆมี Wi-Fi แล้ว เมื่อจับสัญญาณได้ใหม่ หน้าจอจะเด้งแสดง Hotspot ที่หาเจอให้อัตโนมัติ หากไม่แสดงผลให้อัตโนมัติ ให้เข้าไปที่ Setting-->Wi-Fi-->เลือก Ask to Join Networks เป็น ON
ตั้งค้นหา Wi-Fi อัตโนมัติ สัญญาณหลุด หาให้ใหม่ทันที ตั้งค้นหา Wi-Fi อัตโนมัติ สัญญาณหลุด หาให้ใหม่ทันที
โดยปกติ การค้นหาสัญญาณ Wi-Fi จะเป็นค่ามาตราฐานอยู่แล้ว หากไม่ต้องการให้แสดง ให้เลือก Off ที่หัวข้อ Ask to Join Networks เช่นกัน
สิบการตั้งค่าที่ว่ามานี้ เชื่อว่าน่าจะช่วยให้การใช้งาน iPhone ทำอะไรได้คล่องขึ้น เข้าใจเครื่องมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ

Tuesday, June 12, 2012

SEO check lists-และการให้แต้ม/ตัดแต้ม

บทความดีดีจาก thaiseoboard
1 Keywords ใน <title> tag
 จุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งที่จะใส่ Keywords ของเราคือ Keywords ใน <title> tag เพราะ Keyword จะถูกโชว์ใน search results ในฐานะ page title ตัว title tag ควรจะสั้นๆ (6 or 7 คำสูงสุด) และ Keyword ควรจะอยู่ใกล้จุดเริ่มต้นประโยค +3
 
2 Keywords ใน URL
 Keywords ใน URLs ช่วยได้ เช่น. - http://domainname.com/seo-services.html, จะเห็นว่า “SEO services” เป็น keyword phrase ที่เราพยายามจะเน้น แต่ถ้าในเอกสารของคุณไม่มี Keyword คำนี้อยู่ การใส่ Keywords ใน URL ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
 +3
 
3 ความหนาแน่นของ Keyword  ในเว็บ
 ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดที่ดีควรจะ check ให้อยู่ราวๆ 3-7 % สำหรับ Keyword หลัก, 1-2% สำหรับคีย์อวิร์ดรอง. แต่ถ้าความหนาแน่น ของ Keyword นั้นมากกว่า 10% จะดูเยอะเกินและเหมือนกับยัดคีย์เวิร์ดซึ่งจะส่งผลไม่ดี
 +3
 
4 Keywords ใน anchor text
 นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก the anchor text of inbound links, เพราะว่าถ้าคุณมี keyword เป็นคำ anchor text ที่ลิงค์เข้ามาจากเว็บอื่นๆ ก็จะเปรียบเทียบได้กับการได้รับการ vote จาก site นั้นๆไม่ใช่แต่เฉพาะทั้งเว็บตามปกติ, แต่จะเกี่ยวกับ keyword ด้วย
 +3
 
5 Keywords in headings (<H1>, <H2>, etc. tags)
 อีกจุดหนึ่งที่ให้น้ำหนัก Keyword ด้วยอย่างมาก. แต่ก็ให้แน่ใจด้วยว่าในหน้าเว็บนั้นๆของคุณก็มี text ที่เป็น Keyword นี้ด้วยเช่นกัน
 +3
 
6 Keywords ในจุดเริ่มต้นของ เอกสาร
 ถึงแม้คะแนนจะไม่มากเท่า anchor text, title tag หรือ headings. อย่างไรก็ตามให้นึกไว้เสมอว่า จุดเริ่มต้นของเนื้อความใน document ไม่จำเป็นต้องหมายถึง ย่อหน้าแรกเสมอไปนะครับ – เช่นถ้าเราใช้ tables, ข้อความหลักน่าจะอยู่ที่ column ที่สอง row สองมากกว่า.
 +2
 
7 Keywords ภายใน <alt> tags
 Spiders จะไม่รู้จักรูป images แต่มันสามารถอ่าน textual descriptions ใน <alt> tag ได้, เพราะฉนั้นถ้าคุณมีรูป, ให้ใส่ keyword บางตัวใน <alt> tag ด้วย
 +2
 
8 Keywords ใน metatags
 ่ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ความสำคัญในส่วนของ meta ได้ลดลงมาบ้าง (แต่ก็ยังต้องใส่อยู่), เพราะว่า Google. Yahoo! และ MSN ก็ยังพิจารณาส่วนนี้อยู่, โดยเฉพาะ Yahoo! กับ MSN, การใส่ keyword ใน meta ก็ยังดีกว่าไม่ใส่เลยนะครับ
 +1
 
9 Keyword proximity
 Keyword proximity เป็นตัววัดความใกล้กันของตัว text ใน keywords  ซึ่งจะให้ผลดีที่สุดถ้า keyword  ตัวนึงอยู่ต่อกับอีกตัวนึงพอดี (เช่น “dog food”), ที่ไม่มีคำอื่นใดไปแทรกกลางระหว่างมัน. ตัวอย่างเช่นถ้าเรามีคำว่า “dog” ในย่อหน้าแรกและ “food” ในย่อหน้าที่สาม , Google ก็จะนับ keyword ให้เหมือนกันแต่ก็จะไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่า“dog food” ที่ไม่มีอะไรแทรกกลางเลย. Keyword proximityจะเหมาะกับ keyword ที่มีคำมากกว่าสองคำอยู่ด้วยกันครับ
 +1
 
10 Keyword phrases
 ในบาง Keyword เราสามารถที่จะ optimize ตัว keywordที่ประกอบด้วยคำหลายคำได้ เช่น “SEO services” จะเป็น keyword phrases ที่น่าจะเป็นที่นิยมในการค้นหา เพราะผู้เซิร์ทหลายคนน่าจะพิมพ์ทั้งสองคำนี้ลงไปตรงๆ แต่ในบางโอกาส การแยก keyword เป็น 2หรือ 3 คำ เช่น “SEO” และ “services” ก็อาจจะทำให้เจอได้ในบางครั้งเช่นกัน เพียงแต่จะมีน้ำหนักที่น้อยกว่าบ้าง +1
 
11 Secondary keywords
  การ Optimizing สำหรับ keywords ที่รองลงไป (บางทีเป็น sub categories ของ keyword หลัก) ก็เป็นความคิดที่ดี เพราะแน่นอนว่าทุกๆคนพยายามที่จะ optimizing  keywords ที่ดังๆ และค่อนข้าง General ทำให้ keyword ที่รองลงมาอาจไม่ค่อยได้ถูกโฟกัส นั่นหมายความว่าถ้ามีคน search ก็กลับจะดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น “boutique hotel pattaya” นั้นมีคนเซิร์ทน้อยกว่า “boutique hotel” เป็น พันๆเท่าแน่นอน แต่ถ้าคุณทำธุรกิจนี้ในพัทยา ถึงแม้คุณจะมีคนเซิร์ทเจอน้อยกว่าแต่คนที่เจอก็เป็น targeted traffic แน่นอน
 +1
 
12 Keyword stemming
  สำหรับภาษาอังกฤษ การใส่คำที่มีความหมายในทางเดียวกัน เช่น dog, dogs, doggy,และอื่นๆ จะถูกคิดว่ามีความสำพันธ์กันถ้าคุณมีคำว่า “dog”อยู่ใน pageของคูณ, เว็บอาจจะถูเซิร์ทเจอเพราะคำว่า “dogs” หรือ “doggy”ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามสำหรับภาษาไทยนั้นการใส่ keyword ที่คล้ายๆกันไปด้วยก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ search engine ยังไม่รู้จักรากของคำดีพอ (ถึงแม้ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา google สามารถที่จะตัดแยกคำไทยที่เขียนติดกันได้แล้วก็ตาม)
 +1
 
13 Synonyms
  สำหรับภาษาอังกฤษ การ Optimizing คำที่มีความหมายเดียวกัน (synonyms)ของ target keywords, ก็จะให้ผลดีด้วยเพราะ search engine นั้นมีความฉลาดพอที่จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่สำหรับภาษาไทยนั้น search engine ยังไม่รู้จักคำเหมือนนะครับ
 +1
 
14 Keyword Mistypes
 การสะกดผิดเป็นเรื่องที่เป็นกันบ่อย หรือแม้แต่การตั้งใจเขียนให้มีความหมายคล้ายกันแต่เขียนให้ส้นลง เช่น Christmas กับ Xmas ซึ่งเราก็อยากจะ optimize ทั้งคู่ซึ่งแน่นอนว่าเราก็จะได้ Traffic ที่เพิ่มขึ้น แต่การแกล้งพิมพ์ผิดหรือพิมพ์เพี้ยนในเว็บไซต์นั้นอาจจะทำให้เว็บไม่ค่อยน่าประทับใจ ทางที่ดีใส่แค่ใน meta ดีกว่า
 0
 
15 Keyword dilution
 ถ้าคุณพยายามที่จะ optimizing  keywords หลายคำเกินไป, โดยเฉพาะอย่างยิ่งคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย จะทำให้ performance ของ keywords รวมทั้งตัวหลักๆนั้นเจอจางลงไปเช่นเดียวกับการมี text อยู่เท่านั้น
 -2
 
16 Keyword stuffing
 การตั้งใจใส่ keywords ที่เยอะเกินไปจนผิดธรรมชาติ (มากกว่า 10% ของคำทั้งหมดใน page)เรียกว่า stuffing และจะทำให้เว็บของคุณเสี่ยงต่อการถูกแบนโดย search engine
 -3
 
 
Links – internal, inbound, outbound 
17 Anchor text of inbound links
 การถูกลิงก์จากเว็บไซต์อื่นเข้ามา โดยมี text ของลิงก์ตรงกับkeyword เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของประสิทธิภาพ keywords(  แต่ถึงจะไม่มี anchor text ตรงๆกับ keyword ก็ยัง OK นะครับ)
 +3
 
18 Origin of inbound links
 เช่นเดียวกับanchor text, คุณภาพ (reputable)ของเว็บที่ลิงก์เข้ามานั้นก็สำคัญมากเช่นกัน โดยปกติเว็บที่มี Google PR ที่ดีก็มักจะมี reputable ดีด้วยเช่นกัน 
+3
 
19 Links from similar sites
 ลิงก์จากเว็บที่คล้ายๆกันก็มีประโยชน์อย่างมากเช่นกัน เพราะมันแสดงถึงว่าคู่แข่งของคุณกำลังโหวตให้คุณ และคุณกำลัง popular ใน community นั้นๆ
 +3
 
20 Links from .edu and .gov sites
 ลิงก์เหล่านี้มีมูลค่ามากทีเดียว เพราะว่าเว็บประเภท .edu และ .gov นั้นจะมี reputable สูงกว่า .com .biz .info หรืออื่นๆ และอีกอย่างก็คือ ลิงก์ออกจากเว็บเหล่านี้ก็มีไม่เยอะซะด้วย
 +3
 
21 Number of backlinks
 แน่นอนว่ายิ่งมีคนลิงก์เข้ามาเยอะก็ยิ่งดี ถึงแม้ว่า คุณภาพของเว็บที่ลิงก์จะมีความสำคัญมากกว่าจำนวนก็ตาม
 +3
 
22 Anchor text of internal links
 การใส่ anchor text  สำหรับลิงก์ภายในเว็บของเราเองก็ให้ผลดีและเป็นสิ่งสำคัญที่ทำได้ไม่ยาก
 +2
 
23 Around-the-anchor text
 text ที่อยู่ก่อนและหลังของ anchor text ก็มีความสำคัญเช่นกัน เรามันจะเป็นตัวบอกความตั้งใจในการใส่ลิงก์ของคุณ  ว่าใส่อย่างผิดธรรมชาติหรือ flow อยู่ข้างในกลุ่ม text หรือไม่
 +2
 
24 Age of inbound links
 อายุของ ลิงก์ เข้ามาจากเว็บอื่นยิ่งมากยิ่งดี เพราะว่าการได้ลิงก์จำนวนมากเข้ามาในระยะเวลาไม่นานนั้นแสดงให้เห็นว่าคุณน่าจะซื้อมันมากกว่า 
 +2
 
25 Links from directories
 การใด้ลิงก์จากเว็บ Directory ก็สำคัญเช่นกันและขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Directory นั้นๆด้วย เช่นการให้ลิงก์จาก DMOZ ,Yahoo นั้นจะให้ผลที่ดีมากๆ แต่การมีลิงค์จำนวนมหาศาลจาก Directory ที่มี PR-0  นั้นกลับไร้ประโยชน์ และยังอาจเสี่ยงต่อการถูกคิดว่าเป็น spam links อีกด้วยถ้าคุณมีเป็นร้อยเป็นพันลิงก์
 +2
 
26 Number of outgoing links on the page that links to you
 เว็บที่ลิงก์เข้ามาให้คุณนั้น  ถ้ามีลิงก์ออกไปที่อื่นยิ่งน้อยยิ่งดีเพราะว่ามันแสดงถึงความสำคัญของเว็บคุณต่อเค้านั่นเอง อันนี้เป็นหลักการของการให้ pagerank โดยปกติ
 +1
 
27 Named anchors
 Named anchors บริเวณเป้าหมาย ลิงก์ภายในไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับ navigation ภายใน แต่ยังสำคัญกับ SEO ด้วยเพราะเป็นการเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของ ย่อหน้าหรือ text นั้นๆ สำหรับ code, named anchors เช่น: <A href= “#dogs”>Read about dogs</A> และ “#dogs”ก็คือ named anchor.
 +1
 
28 IP address of inbound link
 Google denies Google นั้นจะไม่ให้ความสำคัญและไม่ให้น้ำหนักจากลิงก์ที่มาจาก IP address เดียวกัน แต่ MSN และ  Yahoo นั้นอาจจะไม่รับ ลิงก์ที่มาจาก IP address เดียวกัน ด้วยซ้ำ ดังนั้นเป็นการดีที่จะได้ลิงก์เข้ามาจาก  IPs ที่ต่างกัน
 +1
 
29 Inbound links from link farms and other suspicious sites
 การได้รับลิงก์มากจากเว็บรวมลิงก์ (links farm) นั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อเว็บของคุณเลย และก็ไม่ถูกทำโทษด้วยเพราะว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่ยังไงก็ตาม อยุ่ห่างๆจากเว็บพวกนี้ก็ดีครับ
 0
 
30 Many outgoing links
 Google จะไม่ชอบเว็บ page ที่มีลิงก์ออกเป็นจำนวนมาก  เพราะฉนั้นคุณต้องพยายามไม่ให้ลิงก์ออกจากเว็บเกิน 100  ต่อหนึ่งหน้า มิเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อเว็บของคุณ
 -1
 
31 Excessive linking, link spamming
 ถ้าเว็บคุณมีลิงก์หลายอันไปที่เว็บๆเดียว  หรือได้ลิงก์เข้ามาหลายๆอันจากเว็บๆเดียว (แม้ว่าเว�32 Outbound links to link farms and other suspicious sites
 ถ้าคุณมีลิงก์ออก (outbound) ไปที่เว็บที่ถูกทำโทษไปแล้วหรือไปที่ link farm จะทำให้ถูกตัดแต้มอย่างมาก ดังนั้นต้องหมั่นเช็คลิงก์ขาออก จากเว็บของคุณเสมอเพราะบางทีเว็บที่ดีก็มีการเปลี่ยนไปเป็นเว็บที่แย่ได้เหมือนกัน (bad neighbors )
 -3
 
33 Cross-linking
 ตัวอย่างของ Cross linking เช่นเว็บ A ลิงก์ออกไปที่เว็บ B และเว็บ B ลิงก์ออกไปที่เว็บ C และ เว็บ C ลิงก์กลับมาที่เว็บ A การกระทำอย่างนี้ก็เหมือนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนลิงก์จำนวนมากเช่นกัน แม้และจะโดนตัดแต้มอย่างมาก (กรณีที่ซับซ้อนกว่านี้ google ก็ยังสามารถเช็คได้ดังนั้นทำอะไรให้เป็นธรรมชาติด้วยจำนวนลิงก์ที่เหมาะสมเช่นเพื่อนแนะนำเพื่อนในกลุ่มเดียวกันก็ไม่เป็นไร)
 -3
 
34 Single pixel links
 ถ้าพยายามทำลิงก์ที่มีขนาดแค่ pixel เดียวหรือมีขนาดที่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นเพื่อหวังผลว่าจะหลอก search engine ก็จะถูกตัดแต้มด้วยเช่นกัน
 -3
 
 
Metatags 
35 <Description> metatag
 Metatags เริ่มมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆแต่ก็ยังมีผลอยู่เช่นกัน ซึ่งจะมีทั้ง <description> และ <keywords>  ถ้าเราต้องการอธิบายเว็บของเราให้ใส่ <description> ( yahoo และ msn ยังคงให้ความสำคัญมากอยู่) และบางครั้ง description ก็จะขึ้นใน search results เช่นกัน
 +1
 
36 <Keywords> metatag
 <keyword> metatag นั้นยังมีผลต่อ google เวลาใส่ metatag ให้ใส่ด้วยความยาวที่เหมาะสมคือประมาณ 10-20  keywords และอย่ายัด keyword ที่ไม่มีในหน้า page ของคุณลงไปเพราะจะส่งผลเสียแทน
 +1
 
37 <Language> metatag
 ถ้าเว็บไซต์ของเราต้องการ specific ภาษา ก็อย่าให้ tag ภาษาว่างเปล่า  ถึงแม้ว่า search engine จะมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าในการวิเคราะห์ภาษาแต่ก็ยังต้องคำนึงถึง <language>metatag
 +1
 
38 <Refresh> metatag
 <refresh>metatag เป็นทางเดียวที่จะ redirect จากเว็บของคุณไปที่อื่น   ให้ทำในกรณีที่คุณเพิ่งย้ายเว็บไซต์ไปยังชื่อ domain ใหม่เท่านั้นและควรทำเป็นการชั่วคราว เพราะถ้า redirect เป็นเวลานานจะทำให้แต้มตก ในกรณีนี้การ redirect ไปที่ 301 นั้นจะดีกว่า
 -1
 
 
Content
 
39 Unique content
 ยิ่งเว็บเรามีเนื่อหามากเท่าไหร่ และเนื้อหามีความแตกต่างจากเว็บอื่นๆทั้ในแง่ของ wording และ Topics จะยิ่งทำให้ ranking ดีขึ้นเท่านั้น
 +3
 
40 Frequency of content change
 การปรับเปลี่ยนเนื้อหาอยุ่เป็นประจำนั้นยอดเยี่ยมเช่นกัน และดีที่สุดถ้าเว็บมีเนื้อหาใหม่ๆตลอดเวลา (ดีกว่าการปรับเปลี่ยนเนื้อหาที่มีอยู่แล้วนิดหน่อยๆ)
 +3
 
41 Keywords font size
 เมื่อเนื้อความที่เป็น keywords ในเว็บของคุณมีขนาดตัวอักษรที่ใหญ่เมื่อเทียบกับตัวอักษรตัวอื่นๆในเว็บ ซึ่งจะทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายขึ้นและแสดงถึงความสำคัญก็จะช่วยให้ keyword นั้นๆได้แต้มด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับการใส่ <h1>,<h2> ที่ heading
 +2
 
42 Keywords formatting

 เช่นเดียวกันกับด้านบน ถ้าเราเน้นตัวอักษรที่เป็น keyword ด้วยวิธีอื่นๆเช่นตัวเอียง ตัวหนา ก็จะได้แต้มด้วยเช่นกัน แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป
 +2
 
43 Age of document
 เอกสารที่ออกใหม่ๆ หรือเอกสารที่อัพเดทบ่อย ก็จะได้รับความสำคัญมากกว่าเช่นกัน
 +2
 
44 File size
 ปกติ page ที่มีข้อความยาวมากๆเกินไปนั้นก็ไม่ได้ให้ผลที่ดีมากนัก เพราะถ้าเรามี หน้าสั้นๆ 3 หน้าก็ยังดีกว่า หนึ่งหน้ายาวๆใน Topic เดียวกัน เพราะฉนั้นให้แยกบทความยาวๆเป็น บทความสั้นๆหลายๆหน้าจะดีกว่า
 +1
 
45 Content separation
 ถ้าเป็นมุมมองทางการตลาก การแยกประเภทของเนื้อหาตามกลุ่มต่างๆภายใต้ IP หรือ ชนิดของ Browser หรืออื่นๆ นั้นน่าจะดีเพราะตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่กลับส่งผลเสียต่อ SEO แทนเนื่องจากเมื่อคุณมีแค่ URL เดียวแต่กลับมี เนื้อหาที่ต่างกันจะทำให้ search engine งงว่าอันไหนเป็นเนื้อหาที่แท้จริง
 -2
 
46 Poor coding and design
 Search engine เป็นคนบอกเองว่า พวกมันไม่ต้องการเว็บไซต์ที่มีการดีไซน์ที่แย่และมีการเขียน code ที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมี เว็บที่ถูกแบนเนื่องจากกรณีดังกล่าว  (messy code และ รูปที่น่าเกลียด) แต่เว็บที่ดีไซน์ไม่ดีและ code ไม่ดีก็จะไม่ถูก index เลยทำให้ส่งผลเสียแน่นอน
 -2
 
47 Illegal Content
 การใส่เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วคุณก็ยังจะถูก search engine เขี่ยออกไปอีกด้วย
 -3
 
48 Invisible text
 นี่เป็นกรณีของ black hat SEO (สายดำ) ถ้า spiders ตรวจจับได้ว่าคุณใส่ text ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาก็อย่าแปลกใจที่จะโดยทำโทษ
 -3
 
49 Cloaking
 Cloaking เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถโดนตัดแต้มได้ เพราะเป็นการแยกส่วน content หลอกให้ spider เห็น page ที่ทำ optimize หวังผล ในขณะที่ผู้เข้าชมปกติกลับเห็นอีกเวอร์ชั่นของ page นั้นๆ
 -3
 
50 Doorway pages
 การสร้าง page โดยตั้งใจที่จะหลอก spiders ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นเว็บที่สำคัญดี (highly-relevant)  ทั้งๆที่ไม่ใช่ ก็เป็นอีกทางที่ search engine จะเขี่ยคุณออก
 -3
 
51 Duplicate content
 เมื่อคุณมีเนื้อหาที่เหมือนกันในหลายๆหน้าบนเว็บ แทนที่จะทำให้เว็บดูใหญ่ก็กลับทำให้ถูกลงโทษในฐานะ duplicate content แทน  การวิเคราะห์การทำซ้ำนั้นก็มีหลายดีกรี แต่ก็ไม่ใช่ทุกอันที่จะถูกแบน เช่น บทความจาก mirror sites นั้นไม่เป็นไร
 -3
 
 
Visual Extras and SEO 
52 JavaScript
 ให้ใช้ java อย่างฉลาดเพียงเพื่อดึงดูดความน่าสนใจเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าเนื้อหาหลักของเว็บถุกแสดงผ่าน Javascript ทั้งหมด จะทำให้ spiders ติดตามได้ยาก และอาจติดตามไม่ได้เลยถ้า code Javascript นั้นเขียนมาแย่ แน่นอนว่า rating จะตกได้
 0
 
53 Images in text
 เว็บที่มีแต่ตัวอักษรก็ดูน่าเบื่อแต่ถ้ามีรูปเยอะไปก็ไม่ดีกับ SEO เช่นกัน อย่างไรก็ตามให้ใส่ <alt>tag ด้วยคำที่เป็นความหมายที่เหมาะสมกับรูป แต่ก็อย่ายัด keyword จำนวนมากใส่รูปโดยไม่เกี่ยวข้องกันเช่นกัน
 0
 
54 Podcasts and videos
 Podcast และวีดีโอกำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆทุกวัน แต่ก็ทำให้ ไม่ค่อยมี text ในเว็บและ search engine  ก็เจอยาก เพราะฉนั้นถ้าเป็นไปได้ จะถอดเทปและเขียนเป็น text กำกับไว้ในหน้านั้นๆก็ได้ครับ
 0
 
55 Images instead of text links
 การใช้รูปเป็นตัวลิงก์แทนตัวอักษรนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่  จะยิ่งแย่เมื่อไม่ได้ใส่อะไรใน <alt>tag เลย แต่แม้ว่าคุณจะใส่ <alt>tag แล้วก็ยังให้ผลได้ไม่ดีเท่ากับการลิงก์ด้วยตัวอักษรที่เป็นตัวหนา ,ขีดเส้นใต้ หรือมีขนาด ใหญ่ เพราะฉนั้นคุณควรจะใช้ รูปในการทำ navigation ที่ขึ้นกับ graphic lay-out ของเว็บคุณเท่านั้น
 -1
 
56 Frames
 Frames เป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อ SEO มาก ให้หลีกเลี่ยงยกเว้นจำเป็นจริงๆ
 -2
 
57 Flash
 Spiders จะไม่ index เนื้อหาที่เป็น Flash (ภาพเคลื่อนไหว) ถ้าจำเป็นต้องมีก็ควรใส่  alternate textual description ด้วย
 -2
 
58 A Flash home page
 การทำ flash homepage โดยไม่มี html เลยส่งผลไม่ดีต่อ SEO อย่างมากแน่นอน
 -3
 
 
Domains, URLs, Web Mastery
 
59 Keyword-rich URLs and filenames
 การที่มี keywords หรือชื่อของไฟล์ อยู่ใน URLs ก็เป็นสิ่งสำคัญมาสำหรับ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งกบ Yahoo! และ MSN
 +3
 
60 Site Accessibility
 การเข้าเว็บไซต์ได้ทั้งเว็บตลอดเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ ปกติเว็บจะถือว่า unaccessible เมื่อ ลิงก์ตาย,404 errors, บริเวณในเว็บที่ต้องใส่ password และจะทำให้เว็บไม่ถูก index
 +3
 
61 Sitemap
 การมี  sitemap,เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว คุณควรมี site map ที่สมบูรณ์และ update เสมอ(ไม่ว่าจะเป็นแบบ HTML ธรรมดาหรือ Google site map formatt  เพราะว่า spiders จะชอบ
 +2
 
62 Site size
 โดยปกติเว็บยิ่งใหญ่ก็จะยิ่งดี เพราะSpiders นั้นชอบเว็บไซต์ใหญ่ๆ  อย่างไรก็ตามเว็บที่ใหญ่ก็จะมีปัญหาใช้งานยากขึ้นและมี navigation ที่แย่ลงทำให้บางทีต้องแยกเป็นเว็บที่เล็กลง  แต่ในทางปฎิบัติ ยังไม่ค่อยมีเว็บไหนที่ถูกลงโทษเพราะมีหน้าเกินหมื่นหน้า เพราะฉนั้นอย่าแยกเว็บไซต์เพียงเพราะว่ามันใหญ่ขึ้นทุกวัน
 +2
 
63 Site age
 older sites are respected more.เว็บไซต์ยิ่งมีอายุมากแล้วยิ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น เพราะแสดงว่าไม่ใช่เว็บ pop-up ใหม่ๆแล้วหายไป
 +2
 
64 Site theme
 site theme ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน และสำคัญมากต่อ ranking ถ้าเราทำ site ให้เข้ากับ theme หนึ่งๆแล้ว ถ้ามี page อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ theme นี้จะช่วย boost เว็บไซต์ทั้งหมด
 +2
 
65 File Location on Site
 ตำแหน่งของ file ในเว็บไซต์ ( ชื่อไฟล์ด้านหลังเช่น www.ipattt.com  / xxx) ถ้าอยู่ใกล้กับ root directory จะมีแนวโน้มที่มี rank ดีกว่าไฟล์ที่อยู่ลึกเข้าไปห้าระดับ (เช่น www.ipattt.com/nnn/nnn/nnn/nnn/xxx )
 +1
 
66 Domains versus subdomains, separate domains
 การมี domain ต่างหากน้นดีกว่า เช่นแทนที่จะมี ipattt.blogspot.com ก็ควร register เป็น ipattt.com
 +1
 
67 Top-level domains (TLDs)
 TLDs ( .xxx) นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ โดย .com นั้นดีกว่า .ws, .biz, .info อยู่มากแต่ก็ไม่มีอะไรสู้ .edu กับ .org ที่จดทะเบียนมานานแล้วได้
 +1
 
68 Hyphens in URLs
 เครื่องหมาย ( – ) ระหว่าง URLs นั้นช่วยให้อ่านง่ายขึ้นและมีผลต่ ranking สามารถใช้ได้กับทั้ง domain name และ ที่เหลือ ใน URLs
 +1
 
69 URL length
 ปกติ URLs ที่ยาวมากๆจะเริ่มดูเหมือน spam เพราะฉนั้นควรหลักเลี่ยงการมี URLs ยาวเกิน 10 คำ ( 3 ถึง 4 คำสำหรับ domain name และ 6 คำสำหรับที่เหลือนั้นยังพอรับได้)
 0
 
70 IP address
 IP address จะมีผลไม่ค่อยดีต่อเมื่อมีการ shared hosting หรือเมื่อเว็บไซต์นั้น host กับ free hosting provider  อีกกรณีคือ  IP หรือ C-class ของ IP address ทั้งหมดติดแบล็คลิสต์เนื่องมาจากการถูกลงโทษด้าน spamming หรือ ด้าน กฏหมาย
 0
 
71 Adsense will boost your ranking
 Adsense นั้นอาจจะช่วยให้คุณมีรายได้แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับ SEO ranking  Google ไม่ได้ให้ ranking bonus เพราะว่า hosting adsense ads
 0
 
72 Adwords will boost your ranking
 เหมือน Adsense , ตัว Adwords นั้นช่วยให้คนเข้ามาดูเว็บของคุณได้ง่ายขึ้นแต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับ SEO ranking เช่นกัน
 0
 
73 Hosting downtime
 Hosting downtime มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ accessibility  เพราะว่าถ้าเว็บ down บ่อยๆจะไม่สามารถทำ indexed ได้ factor นี้จะเห็นผลเสียก็ต่อเมื่อ hosting provider ไม่ค่อยน่าเชื่อถือและมี uptime ต่ำกว่า 97-98%
 -1
 
74 Dynamic URLs
 Spiders นั้นชอบ static URLs  แม้ว่าคุณจะเคยเห็น dynamics pagesจำนวนมาก    การมี URLs ยาวๆ(เช่นเกิน 100ตัวอักษร)จะส่งผลเสียต่อทั้งคนท่องเว็บและ SEO และเราควรจะใช้เครื่องมือบางตัวช่วยเช่น rewrite dynamic URLs
 -1
 
75 Session IDs
 ยิ่งแย่กว่า Dynamics URLs  การใช้ session IDs นั้นจะไม่ทำให้ spiders ทำ indexed
 -2
 
76 Bans in robots.txt
 ถ้าเว็บไซต์ของเรามีบางส่วนที่ถูกแบน  มันก็มักจะส่งผลถึงส่วนอื่นๆที่ไม่โดนแบนทั้งหมดด้วยเนื่องจาก spiders จะวิ่งเข้ามาน้อยถ้าเป็น “noindex” site
 -2
 
77 Redirects (301 and 302)
 redirects จะส่งผลเสียมากถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง บางทีหน้าที่ต้องการนั้นก็ไม่สามารถเปิดได้ หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือ บางครั้ง redirect อาจถือว่าเป็นการทำ SEO แบบ black hat คือเมื่อผู้เยี่ยมชมเข้ามากลับถูกโยนไปที่อื่นแทน
-3