Saturday, July 28, 2012


วิธีการ Jailbreak iOS 6 Beta 3 บน iPhone 4, iPhone 3GS, iPod Touch 4G ด้วย Redsn0w 0.913dev3 + Download Links

   Jailbreak iOS 6 อัพเดทวิธีการขั้นเทพกับ iTAllNews.com หลังจาก Apple iOS 6 Beta 3 อัพเดทไปได้ไม่กี่ชั่วโมงทาง DEV-Team ทำงานแข่งกับเวลา ได้ทำการปล่อยเครื่องมือในการแขกคุก iOS 6 Beta 3 แทบจะทันทีนั่นคือRedsn0w 0.913dev3 โดยเครื่องมือนี้สามารถเจลเบรคอุปกรณ์ iDevice Chip-A4 อย่าง iPhone 4, iPhone 3GSและ iPod Touch 4G ได้ทั้งหมด : วิธีการ Jailbreak iOS 6 Beta 3 แบบละเอียด STEP-By-STEP

TETHERED JAILBREAK IOS 6 Beta 3
iPhone 4 (CDMA/GSM), iPhone 3GS, iPod Touch 4G

 
     สิ่งที่ต้องมีสำหรับการใช้งานด้วย Redsn0w 0.9.13dev3
 1. Download 
สำหรับ : Jailbreak
iPhone 4 (CDMA/GSM)
iPhone 3GS
iPod Touch 4G

วิธีการ Jailbreak iOS6 Beta3 ด้วย RedSn0w 0.913dev3

 STEP1: ให้เราทำการเปิด Redsn0w 0.913dev3 ขึ้นมาจากนั้น เลือก Extras Button 

 STEP2: ให้ทำการกดไปที่ Select IPSW เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเลือก Firmware iPSW  iOS6 Beta3
 STEP 3: เลือก Firmware iPSW  iOS 6 beta 3 ให้ตรงกับรุ่นของ iDevice ของเรา (เลือกให้ถูกนะครับ) ทั้งiPhone 4, iPhone 3GS, iPod Touch 4G 

 STEP 4: เมื่อเราเลือก iOS firmware เสร็จแล้วให้ทำการกด Back แล้วกด Jailbreak

: : รอให้ทาง Jailbreak iOS 6 Beta 3 ทำงานสักครู่นึงครับ (ไม่นานเกินรอ)
 STEP5: หลังจากนั้นจะมีรายละเอียดขึ้นมา ให้เรากด Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอน DFU Mode

 STEP6: ต่อไปให้เข้า DFU Mode ครับกดตามขั้นตอน ถ้ากดไม่ทันกด Back แล้วกลับมากดใหม่ได้ ไม่ต้องรีบร้อน
- กด ปุ่ม Power 3 วินาที 
- กดปุ่ม Power + Home ( พร้อมกัน ) 10 วินาที
- ปล่อยปุ่ม Power แต่ยัง กดปุ่ม Home ค้างไว้อีก 15 วินาที ( ปล่อยปุ่ม Power อย่างเดียว )
เครื่องจะเข้าสู่ DFU Mode สังเกตจากหน้าจอ PC ก็จะขึ้นมว่า Apple Recovery (DFU) Usb Driver  และหน้าจอ iDevice ก็จะดำมืด 

   หลังจาก  RedSn0w 0.9.13dev3 ทำงานของมันเสร็จ ก็นเป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการ Tethered Jailbreak iOs 6 Beta 3 บน iPhone 4 (CDMA/GSM), iPhone 3GS, iPod Touch 4G เรียบร้อยแล้วละครับ แต่นี่ก็คงยังต้องอาศัย Booting Tethered (ไม่สามารถรีบูทเครื่อง iDevice ได้ด้วยตัวเอง) เพราะอย่างนั้นหลังกจาก Jailbreak เสร็จแล้วเรายังคงต้องทำการ Booting Tethered อีก 1 ครั้งก่อนการใช้งานครับ 

Just Boot & Booting Tethered
 STEP 7: กลับสู่หน้าจอแรกของ RedSn0w 0.9.13dev3 เลือก Extras > Just Boot และเข้าสู่ DFU Mode อีกครั้ง ก็สามารถใช้งานได้ เรียบร้อยแล้วครับ (ทุกครั้งที่เครื่อง Reboot ก็ให้ทำแบบนี้ แหละครับ ^^)

จาก itallnews.com

เจ้าหญิง - บอย โกสิยพงษ์


เพลง เจ้าหญิง Princess 
ศิลปิน บอย โกสิยพงษ์
อัลบั้ม Rhythm & BOYd
สังกัด Bakery Music
ขับร้อง ธนชัย อุชชิน
INTRO  :  /C G Am F
C                           G           
ในคืนที่ฟ้านี้มีแต่ความมืดของดาว      
Am                                         F           G           
รู้สึกเหน็บหนาว    เมื่อไม่มีใคร   เคียงข้างกาย
C                                 E7
อยากให้ท้องฟ้านี้มีแต่ดาวอันพร่างพราย
Fmaj7                                G7
เติมชีวิตให้มีความหมาย     ด้วยใจใครสักคน
Am9    Am       G7
แล้ว...เธอ     ก็เข้า...มา
Am9   Am            F      G7
เปลี่ยนหัวใจ...ที่เคยอ่อนล้าให้มีหวัง
C9                            Em7                           Fmaj7
* ขอให้ค่ำคืนนี้มีแต่เรา      อยู่เคียงใต้แสงดาว
G7
และมีความรักให้กันและกัน
C9                                 Em7
ให้เธอเป็นดังเจ้าหญิงในใจฉัน
Fmaj7   G7
และจะมีเธอเท่านั้น.........
rap : Tonight when i look into the sky I see the darkness 
I feel cold 'cause there's no body besides me 
Don't you know this sky is full of shining star 
I wish somebody will come 
To make my life for little more meaningful 
Suddenly you came into my life and we were one girl.. 
C                                        Em          
เธอคือนางฟ้าที่เดินเข้ามากลางหัวใจ
Fmaj7                                      G7          
เติมความสดใส    ให้กับชีวิต   ที่มืดมน
C                                          E7
เปลี่ยนแปลงความรักที่มีแต่ความหมองหม่น
Fmaj7                       G7
เปลี่ยนชีวิตที่เคยสับสน    ของคน   ที่ร้าวราน
Am                                     G7
เพราะ......เธอ    ได้เข้า.......มา
Am                F     G7
เปลี่ยนหัวใจที่เคยอ่อนล้าให้มีหวัง.....
(ซ้ำ * )
Dm             A7                             F
ที่มีค่าสูงเกินกว่า      จะหาคำมาอธิบาย
(ซ้ำ * 2  จนจบ)
INSTRU  :  Gm Am7 Bbmaj7 G7 Bdim Abm6 Fmaj7
G7 C9 E7 Fmaj7 G7

Friday, July 20, 2012

P/E ROA ROE P/BV คืออะไร


P/E (Price/Earning per Share) หรืออัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น ถ้าสมมติให้กำไรของบริษัทคงที่ตลอดหรือไม่มีการเติบโตเลย ค่า P/E จะหมายถึงระยะเวลาที่ใช้ในการคืนทุน เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นราคา 10 บาท โดยหุ้นนั้นมีค่า P/E อยู่ที่ 5 เท่า หมายความว่ากำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2 บาท เมื่อเราถือหุ้นนี้ไป 5 ปี กำไรต่อหุ้นจะเท่ากับ 2 x 5 คือ 10 บาท ซึ่งเท่ากับราคาต้นทุนที่เราซื้อนั่นเอง ค่า P/E นี้ยิ่งต่ำยิ่งดีครับ เพราะผู้ลงทุนสามารถคืนทุนได้เร็ว
ROA (Return On Assets) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรจากสินทรัพย์ของบริษัท โดยคำนวณจาก Net Income/Total Assets โดยสินทรัพย์สุทธิ (Total Assets) ของบริษัทนั้นประกอบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและส่วนของหนี้สิน ค่า ROA นี้ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะแสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าสินทรัพย์ที่ลงทุน หากค่า ROA ของบริษัทต่ำกว่า 5% นักลงทุนมืออาชีพมักจะไม่ให้ความสนใจกับบริษัทนั้น
นอกจากอัตราส่วนสองตัวที่กล่าวถึงในหนังสือคัมภีร์สุดยอดนักลงทุนแล้ว ลองมาดูอัตราส่วนตัวอื่นที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่านิยมใช้ในการเลือกหุ้นกัน
ROE (Return on Equity) เป็นตัวที่บ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทในการนำเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นไปทำให้งอกเงยได้ในอัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ ซึ่งคำนวณจาก Net Income/Equity ค่า ROE นี้ยิ่งสูงยิ่งดี โดยนักลงทุนมืออาชีพจะมองหาหุ้นที่มีค่า ROE สูงกว่า 12-15% อย่างต่อเนื่องหลายๆปี
หากนำค่า ROA และ ROE มาพิจารณาแล้วจะพบว่าอัตราส่วนทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันคือเป็นตัวบ่งบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัท จุดแตกต่างกันที่สำคัญของอัตราส่วนทั้งสองจะอยู่ที่หนี้สินของบริษัท เนื่องจาก Assets = Equity + Liabilities ดังนั้นจากสูตรการหาค่า ROA และ ROE จะเห็นว่าถ้าบริษัทไม่มีหนี้สินค่าหรือ Liabilities มีค่าเท่ากับ 0 เราจะคำนวณค่า ROA ได้เท่ากับ ROE แต่หากบริษัทมีหนี้สินเยอะอาจทำให้ค่า ROA ที่ได้มีค่าต่ำในขณะที่ ROE มีค่าเท่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรระวังหากพิจารณาเฉพาะค่า ROE ที่สูงๆโดยไม่พิจารณาถึงหนี้สินของบริษัท
อัตราส่วนอีกตัวที่นิยมนำมาใช้ในการเลือกหุ้นคุณค่าและจะพูดถึงเป็นตัวสุดท้ายในวันนี้ก็คือ
P/BV (Price/Book Value) โดย Book Value คิดมาจาก Equity/Number of Shares โดยทั่วๆไปแล้วค่า P/BV นี้ยิ่งต่ำยิ่งดี ตัวเลขมาตราฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือ 1 เท่า หากสามารถซื้อหุ้นที่มีค่า P/BV น้อยกว่า 1 ได้ก็หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท

โรคมือ เท้า ปาก

โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเปื่อย Hand foot mouth syndrome
โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มักจะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ แต่ก็อาจจะพบในผู้ใหญ่ได้
โรคมือเท้าปากจะเกิดเชื้อไวรัสกลุ่ม Enterovirus genusซึ่งเชื้อโรคในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย polioviruses, coxsackieviruses, echoviruses, and enteroviruses.
สาเหตุ
โรคปากเท้าเปื่อยเกิดจาการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Coxsackievirus โดยต้องประกอบด้วยผื่นที่ มือ เท้าและที่ปาก เริ่มต้นเป็นที่ปาก เหงือก เพดาน ลิ้น และลามมาที่มือ เท้า บริเวณที่พันผ้าอ้อมเช่นก้น ผื่นจะเป็นตุ่มน้ำใส มีแผลไม่มากอายุที่เริ่มเป็นคือ 2 สัปดาห์จนถึง 3 ปีผื่นจะหายใน 5-7 วัน
อาการ
อาการมักจะเริ่มด้วยไข้ เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัวเจ็บคอ หลังจากไข้ 1-2 วันจะเห็นแผลแดงเล็กๆที่ปากโดยเป็นตุ่มน้ำในระยะแรกและแตกเป็นแผล ตำแหน่งของแผลมักจะอยู่ที่เพดานปาก หลังจากนั้นอีก1-2 วันจะเกิดผื่นที่มือและเท้า แต่ก็อาจจะเกิดที่แขน และก้นได้ เด็กที่เจ็บปากมากอาจจะขาดน้ำ
  • ไข้
  • เจ็บคอ
  • มีตุ่มที่คอ ปาก เหงือกลิ้นโดยมากเป็นตุ่มน้ำมากกว่าเป็นแผล
  • ปวดศีรษะ
  • ผื่นเป็นมากที่มือรองลงมาพบที่เท้าที่ก้นก็พอพบได้
  • เบื่ออาหาร
  • เด็กจะหงุดหงิด
ระยะฝักตัว
หมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการใช้เวลาประมาณ 4-6 วัน
การติดต่อ
โรคนี้มักจะติดต่อในสัปดาห์แรก เชื้อนี้ติดต่อจากการสัมผัสเสมหะ น้ำลายของผู้ที่ป่วย หรือน้ำจากผื่นที่มือหรือเท้า และอุจาระ ระยะที่แพร่เชื้อประมาณอาทิตย์แรกของการเจ็บป่วย เชื้อนั้นอาจจะอยู่ในร่างกายได้เป็นสัปดาห์หลังจากอาการดีขึ้้นแล้ว ซึ่งยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะหายแล้ว
การวินิจฉัย
โดยการตรวจร่างกายพบผื่นบริเวณดังกล่าว
การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะโดยมากรักษาตามอาการ
  • ถ้ามีไข้ให้ยา paracetamol ลดไข้ห้ามให้ aspirin
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือใช้เกลือ1/2ช้อนต่อน้ำ1แก้วต้องมั่นใจว่าเด็กบ้วนคอได้
  • ดื่มน้ำให้พอ
  • งดอาหารเผ็ด หรืออาหารเป็นกรดเพราะจะทำให้ปวด
โรคนี้หายเองได้ใน 5-7 วัน
โรคแทรกซ้อน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ coxsackievirus A16 ซึ่งหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อ enterovirus 71 โรคจะเป็นรุนแรงและเกิดโรคแทรกซ้อน
  • ภาวะขาดน้ำ ต้องกระตุ้นเด็กให้รับน้ำให้เพียงพอ หากขาดน้ำรุนแรงจะต้องได้รับน้ำเกลือ
  • มีการติดเชื้อซ้ำบริเวณที่เป็นแผล
  • อาจจะเกิดชักเนื่องจากไข้สูง ต้องเช็ดตัวเวลามีไข้และรับประทานยาลดไข้
  • อาจจะเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเส
  • สมองอักเสบได้ ผู้ป่วยจะเกิดอาการ อาเจียน ซึม และชัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหาย
การป้องกัน
โรคมือเท้าปากจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย รวมทั้งน้ำจากตุ่ม และอุจาระ การลดความเสี่ยงของการติดต่อทำได้โดย
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับเด็กที่ป่วย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย สวมถุงมือเมื่อจะทำแผลผู้ป่วย
  • หลีกเลี่ยงที่มีคนมาก
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่มีการจับ่อย เช่นลูกบิด โทรศัพท์
  • ไม่แบ่งของเล่นกับเด็กปกติ
ควรพบแพทย์เมื่อไร
  • ไข้สูงรับประทานยาลดไข้แล้วไม่ลง
  • ดื่มน้ำไม่ได้และมีอาการขาดน้ำ ผิวแห้ง ปัสสาวะสีเข็ม
  • เด็กระสับกระส่าย
  • มีอาการชัก
  • แผลไม่หาย

iOS: VirusBarrier

:: iOS: VirusBarrier แอพฯตรวจเช็ค Antivirus, Malware บน iPhone, iPad ตัวแรกในโลก! :: อย่างที่ทราบกันดีว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของ Apple นั้นมีจุดขายอยู่ที่ตัวเครื่องจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้นจากเหล่าปรสิตออนไลน์ทั้งไวรัสประเภทต่างๆรวมถึงมัลแวร์ขยะมากมายที่มีอยู่เกลื่อนโลกไซเบอร์ ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเจ้าตัวร้ายเหล่านี้อยู่ในอุปกรณ์ของคุณเสียหน่อย (อาจจะมีแต่มันมองข้ามไปก็เท่านั้นเอง 555) ว่าแล้วบริษัท Intego ก็เลยขออาสาพัฒนาแอพพลิเคชันตรวจเช็คมัลแวร์และแอนตี้ไวรัสตัวแรกในโลกบนแพลตฟอร์ม iOS ที่มีชื่อว่า VirusBarrier สำหรับผู้ใช้งาน iPhone และ iPad กันเสียเลย! โดยแอพฯ VirusBarrier จะทำหน้าที่ตรวจสอบไฟล์ต่างๆที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเครื่องของคุณไม่ว่าจะเป็นไฟล์จากแฟ้ม MobileMe, Dropbox หรือเอกสารต่างๆที่แนบมากับข้อความอีเมล์เป็นต้น ซึ่งตัว VirusBarrier นั้นจะทำงานก็ต่อเมื่อมีการเปิดใช้งานเท่านั้น (ไม่ได้รันโปรแกรมอยู่ด้านหลังตลอดเวลาเหมือน Antivirus อื่นๆทั่วไป) โดยคุณสามารถตรวจสอบไฟล์น่าสงสัยต่างๆได้ด้วยการกดที่ลิงค์ค้างไว้แล้วเลือกหัวข้อ Open in VirusBarrier นั่นเอง ทางด้านของ Intego นั้นเผยว่าหัวใจสำคัญของโปรแกรม VirusBarrier นั้นไม่ได้อยู่ที่การกำจัดไวรัสภายในเครื่อง iPhone หรือ iPad แต่อย่างใด ทว่าอยู่ที่การยับยั้งไฟล์อันตรายเหล่านี้ไม่ให้ถูกส่งต่อไปยังอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงมากกว่านั่นเอง (ก็อีพวก Windows ทั้งหลายนั่นแหละ...เป็นห่วงเธอจริงๆนะ) สำหรับแอพพลิเคชัน VirusBarrier (กดลิงค์ไปที่หน้าดาวน์โหลดตรงนี้) มีวางจำหน่ายแล้วใน App Store ด้วยราคาเบาๆเพียง $2.99 (90 บาท) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คุณสามารถอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสและมัลแวร์ใหม่ๆได้เป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากนั้นคุณสามารถต่ออายุการใช้งานของ VirusBarrier ได้เพียงปีละ $1.99 (60 บาท) เท่านั้นครับ

การผลิตลำไยนอกฤดู

การผลิตลำไยนอกฤดูคุณภาพอย่างถูกต้อง มีขั้นตอน 4 ขั้นตอนด้วยกัน 
1.การเตรียมต้นและการตัดแต่งกิ่ง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแตกใบและกิ่งที่สมบูรณ์ให้พร้อมที่สำหรับการออกดอก และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ มีขั้นตอนคือ ตัดกิ่งทรงพุ่มตรงกลาง 2-5 กิ่งเพื่อให้แสงแดดส่องเข้าในทรงพุ่ม ตัดกิ่งด้านในที่ไม่ได้รับแดด ตัดกิ่งใหญ่รอบข้างเพื่อให้แดดส่องถึงด้านใน ตัดกิ่งที่เป็นโรคเพื่อตัดวงจรของโรค ตัดกิ่งที่ซ้อนทับกัน นอกจากนี้สำหรับลำไยต้นอายุน้อยให้ตัดกิ่งเป็นทรงเหลี่ยม คือกำหนดความสูงของทรงพุ่มไม่เกิน 4 เมตร ตัดปลายกิ่งรอบด้านทรงพุ่มทั้งสี่ด้าน เมื่อตัดกิ่งผ่านไป 2 สัปดาห์ ต้นลำไยเริ่มออกใบใหม่ และอีก 6 เดือนจึงจะออกดอก ส่วนการให้ปุ๋ยควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ 10-20 กิโลกรัมต่อต้น ผสมกับปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0, 15-15-15 และ 0-0-60 เป็นต้น 
2.การให้สารโพแทสเซียมคลอเรตอย่างมีประสิทธิภาพ คือเลือกต้นที่มีความสมบูรณ์ หลังแตกใบได้ 25-40 วัน ทำความสะอาดบริเวณทรงพุ่ม กำจัดวัชพืชและวัสดุคลุมดิน ก่อนราดสารอาหารให้ดูดซึมสารโพแทสเซียมคลอเรต จากนั้นใช้โพแทสเซียมคลอเรตที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 95% และการให้สารนั้นมี 2 แบบ คือ ผสมน้ำราด และแบบหว่าน จากนั้นควรรดน้ำเพื่อให้สารโพแทสเซียมคลอเรตละลายเร็วที่สุด 
3.การดูแลรักษาเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพ คือการให้น้ำ ต้องดูขนาดของทรงพุ่ม อย่างทรงพุ่ม 3 เมตร ควรให้น้ำ 26 ลิตรต่อวัน การให้ปุ๋ยเคมีขึ้นอยู่กับปริมาณของผลผลิต การปรับปรุงคุณภาพผล หากผลดกเกิน 80 ช่อต่อต้น ให้ตัดเหลือ 50 ช่อต่อต้น เพื่อรักษาคุณภาพไว้ การกำจัดโรคแมลงในช่วงติดผลคือ ต้องมั่นสำรวจตลอดเวลา โดยเฉพาะเพลี้ยไฟ และไรสีขาว หากระบาดหนักให้พ่นสารฆ่าแมลงเมทโธเอทในระยะดอกยังไม่บาน 
4.การเก็บเกี่ยว การคัดเกรด และการบรรจุ การเก็บเกี่ยวต้องระวังและใช้กรรไกรที่คม สะอาดตัดช่อจากต้น ส่วนภาชนะที่ใส่ควรรองพื้นด้วยกระดาษหรือฟองน้ำเพื่อกันผลช้ำ ก่อนจะบรรจุควรแยกช่อด้วย ระหว่างช่อที่สมบูรณ์กับผลที่ช้ำ ส่วนการคัดเกรดควรแบ่งขนาดตามน้ำหนักหรือความสมบูรณ์ของผล ขณะที่การบรรจุใส่ภาชนะเพื่อนำไปจำหน่ายนั้น ควรเป็นตะกร้าพลาสติกขนาด 11-11.5 กิโลกรัม ถ้าเป็นกล่องกระดาษใช้ขนาด 10 กิโลกรัม หรือ 15 กิโลกรัม เป็นต้น



การเลือกซื้อ ฮาร์ดดิสก์



ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กันบนพีซีทั่วไปนั้น แบ่งเป็น 2 แบบคือ IDE หรือ (E-IDE) และ SATA ซึ่งทั้ง 2 แบบ มีรูปแบบและอินเทอร์เฟชในการติดต่อข้อมูลแตกต่างกันไป แต่ในตลาด ณ เวลานี้ ส่วนใหญ่เราจะเห็นในแบบ SATA และ SATA2 กันมากกว่า โดยที่ฮาร์ดดิสก์ในแบบ IDE ดูจะถูกลดบทบาทลงอย่างมาก เหตุผลมาจากที่แมนบอร์ดในปัจจุบันมีพอร์ตสำหรับ IDE เพียงช่องเดียว ซึ่งต่ออุปกรณ์ได้ 2 ตัว แต่ตัวหนึ่งก็ถูกใช้กับออฟติคอลไดรฟ์ไปแล้ว จึงเป็นเรื่องยากในการอัพเกรด ดังนั้นแล้วการใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SATA จึงเป็นทางเลือกที่ดูคุ้มค่าที่สุด ด้วยความเป็นอุปกรณ์ที่เปรียบเสมือนโรงงานจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา การเลือกซื้อจึงควรให้การพิจารณาเป็นพิเศษ

ส่วนประกอบของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์)
Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) จะประกอบไปด้วย จานแม่เหล็กหรือจานดิสก์ (Platter) ซึ่งออกแบบมาสำหรับบันทึกข้อมูลโดยขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรมในการออกแบบด้วยว่าได้มีการ กำหนดให้มีขนาดความจุต่อแผ่นเท่าใด และใน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แต่ละรุ่นจำต้องใช้จำนวนแผ่นเท่าใด ซึ่งจานแม่เหล็กมีลักษณะเป็นทรงกลมและมีมอเตอร์สำหรับควบคุมการหมุนของจานดิสก์ (Spindle)โดยอัตราความเร็วในการหมุน ณ วันนี้ถูกจัดหมวดออกเป็น 5400,7200 และ 10,000 รอบต่อนาที(rpm) ซึ่งถ้าจำนวนรอบในการหมุนของจาน ดิสก์มีระดับความถี่ที่สูง ก็จะส่งผลให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้นตามไปด้วย
ในส่วนของลักษณะการอ่านเขียนข้อมูลภายในไดรฟ์นั้น จะมีสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยนั้นก็คือหัวอ่านเขียน (Read/Write Head) โดยหัวอ่านเขียนจะมี จำนวนเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนจานดิสก์ด้วย สำหรับหัวอ่านเขียนข้อมูลนั้นเป็นอุปกรณ์ที่จะเคลื่อนที่ไปบนจานดิสก์ โดยจะเว้นระยะห่างระหว่าง หัวอ่านเขียนกับจานดิสก์อย่างคงที่ ซึ่งหาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ได้รับการกระทบกระเทือนจนระยะห่างระหว่างหัวอ่านเขียนกับจานดิสก์ผิดเพี้ยนไป จะทำให้ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ไม่ สามารถทำงานได้เลย แตปัจจุบัน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) รุ่นใหม่ๆจึงได้มีการออกแบบจุดพักหัวอ่านเขียนไว้ด้านข้างเพื่อกันการทระแทกบนจานดิสก์ นอกจากนี้ ด้านหลังของตัวไดรฟ์ยังประกอบไปด้วย อินเทอร์เฟซ (Interface) ซึ่งเป็นช่องสำหรับเชื่อมต่อกับส่ายสัญญาณประเภทต่างๆ แบ่งได้ตาม ชนิดของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เช่น Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบติดตั้งภายในมีอินเทอร์เฟซ IDE, SCSI และ Serial ATA และ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบติดตั้งภายนอกมักมีอินเทอร์เฟซแบบ USB และ Firewire ซึ่งทั้งสองแบบนั้นจำต้องมีช่องสำหรับต่อเข้ากับแหล่งจ่ายไฟเพื่ออาศัยพลังงานในการหล่อเลี้ยอยู่เสมอด้วย

ความจุของฮาร์ดดิสก์ 
แม้ว่าความจุที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันจะมีมากถึง 1000GB หรือ 1Terabyte การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมในการใช้งานและค่าใช้จ่ายเป็นหลัก เพราะถึงแม้บางครั้ง ฮาร์ดดิสก์ความจุสูงดูจะคุ้มค่ากว่าความจุที่ต่ำกว่าก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบการใช้งานของคุณก็ยังถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าอยู่ดีโดยความจุก็มีให้เลือกตั้งแต่ 80/120/160/200/250/320/500/750 และ 1000GB ซึ่งเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม
Harddisk
ความเร็วรอบสำคัญไฉน 
สำหรับฮาร์ดดิสก์เดสก์ทอปมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป ก็มีให้เลือกตั้งแต่ 5400rpm/7200rpm และ 10,000rpm ซึ่งที่พบกันมากที่สุดจะเป็นแบบ 7200rpm ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงบและราคาไม่แพง แต่สำหรับ 10,000rpm นั้น ส่วนใหญ่จะพบบนฮาร์ดดิสก์รุ่นพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่องานบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น การเล่นเกม ทำกราฟิกหรืองานตัดต่อ ที่ต้องการความเร็วสูงในการเปิดไฟล์หรือการดึงไฟล์ข้อมูลเพื่อเรนเดอร์ดังเช่นฮาร์ดดิสก์ Raptor จากค่าย WD หรือ Cheetah จากค่าย Saegate ด้วยความเร็วในการทำงานที่สูง จึงต้องใช้กระบวนการผลิตและวัสดุที่มีคุณภาพสูง จึงทำให้ฮาร์ดดิสก์ประเภทนี้มีราคาที่แพงพอสมควร
บัฟเฟอร์สำคัญมากเพียงใด 
คำตอบคือ สำคัญมากทีเดียว ไม่ใช่เพียงกับการทำงานเฉพาะทางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเล่นเกม มัลติมีเดียและซอฟแวร์พื้นฐานทั่วไปอีกด้วย ด้วยการสำรองข้อมูลบางส่วนในการใช้งานเอาไว้ เพื่อที่จะเรียกใช้ได้เร็วยิ่งขึ้น และแน่นอนว่ายิ่งบัฟเฟอร์สูงกว่าราคาก็จะกระโดดไปกว่า 20% เลยทีเดียวโดยผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกที่ระดับมาตรฐาน 8MB ก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้าหากต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้น สำหรับเกมเมอร์หรือการตัดต่อ อาจเลือกเป็นรุ่น 16MB หรือ 32MB ก็ตอบสนองกับงานในหลายส่วนได้ดีทีเดียว
Average Seek Time
เป็นเวลาในการเข้าถึงข้อมูลโดยเฉลี่ย ซึ่งจะเป็นตัวเลขที่ระบุมากับฮาร์ดดิสก์ทุกรุ่น โดยส่วนใหญ่สำหรับฮาร์ดดิสก์ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 12-14ms แต่ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูงก็จะอยู่ที่ 8ms ตัวเลขดังกล่าวยิ่งน้อยยิ่งหมายถึงการเข้าถึงข้อมูลที่เร็วขึ้น

ชนิดของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบ่งตามการเชื่อมต่อ (อินเทอร์เฟซ)
1. แบบ IDE (Integrate Drive Electronics)
Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ IDE เป็นอินเทอร์เฟซรุ่นเก่า ที่มีการเชื่อมต่อโดยใช้สายแพขนาด 40 เส้น โดยสายแพ 1 เส้นสามารถที่จะต่อ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ได้ 2 ตัว บนเมนบอร์ดนั้นจะมีขั้วต่อ IDE อยู่ 2 ขั้วด้วยกัน ทำให้สามารถพ่วงต่อ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ได้สูงสุด 4 ตัว มีความเร็วสูงสุดในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 8.3 เมกะไบต์/ วินาที สำหรับขนาดความจุก็ยังน้อยอีกด้วย เพียงแค่ 504MB เท่านั้นเอง
2. แบบ E-IDE (Enhanced Integrated Drive Electronics)
Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ E-IDE พัฒนามาจากประเภท IDE ด้วยสายแพขนาด 80 เส้น ผ่านคอนเน็คเตอร์ 40 ขาเช่นเดียวกันกับ IDE ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพ ในการทำงานให้มากขึ้น โดย Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่ทำงานแบบ E-IDE นั้นจะมีขนาดความจุที่สูงกว่า 504MB และความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงขึ้น โดยสูงถึง 133 เมกะไบต์ต่อวินาทีเลยทีเดียว 

วิธีการรับส่งข้อมูลของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ E-IDE ยังแบ่งออกเป็นหลาย ๆ แบบ ทั้งPIO และ DMA

โหมด PIO (Programmed Input Output) เป็นการรับส่งข้อมูลโดยผ่านการประมวลผลของซีพียู คือรับข้อมูลจาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เข้ามายังซีพียู หรือส่งข้อมูลจากซีพียูไปยัง ฮาร์ดดิสก เห็นได้ชัดเลยว่าการทำงานนั้นมีความเกี่ยวข้องกับซีพียู ดังนั้นจึงไม่เหมาะในลักษณะงานที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลใน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) บ่อยครั้งหรือการทำงานหลายๆ งานพร้อมกันในเวลาเดียวที่เรียกว่า Multitasking environment ซึ่งการที่ต้องเข้าถึงข้อมูลใน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) บ่อยครั้ง จะทำให้ความสามารถในการทำงานโดยรวมของระบบต่ำลง
โหมด DMA  (Direct Memory Access) จะอนุญาตให้อุปกรณ์ต่างๆ ส่งผ่านข้อมูลหรือติดต่อไปยังหน่วยความจำหลัก (RAM) ได้โดยตรงโดยไม่ต้องติดต่อไปที่ซีพียูก่อนเหมือนกระบวนการทำงานปกติ ประโยชน์ของการใช้ DMA ก็น่าจะเห็นได้ชัดเจน เพราะเมื่อซีพียูสามารถมุ่งมั่นกับงานของตนเองให้เสร็จโดยไม่ต้องพะวงว่าจะถูกสะกิดรบกวนจาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ให้ช่วยทำงาน ก็สามารถทำให้ซีพียูจัดการงานได้รวดเร็วขึ้น ส่งผลให้ระบบโดยรวมมีความเร็วสูงขึ้นตามไปด้วย
3. แบบ SCSI (Small Computer System Interface)
Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ SCSI (สะกัสซี่) เป็น Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่มีอินเทอร์เฟซที่แตกต่างจาก E-IDE โดย Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์)แบบ SCSI จะมีการ์ดสำหรับควบคุมการทำงาน โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า การ์ด SCSI สำหรับความสามารถของการ์ด SCSI นี้ สามารถที่จะควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ที่มีการทำงานแบบ SCSI ได้ถึง 7 ชิ้นอุปกรณ์ด้วยกัน ผ่านสายแพรแบบ SCSI อัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ SCSI จะมีความเร็วสูงสุดถึง 320 เมกะไบต์/วินาที รวมถึงกำลังรอบในการหมุนของจานดิสก์อย่างต่ำก็หลักหมื่นโดยปัจจุบันแบ่งเป็น 10,000 และ 15,000 รอบต่อนาที ซึ่งมีความเร็วที่มากกว่าประเภท E-IDE อยู่เยอะ ส่งผลให้ราคานั้นย่อมที่จะแพงเป็นธรรมดา โดยส่วนใหญ่จะนำ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบ SCSI มาใช้กับงานด้านเครือข่าย (Server) เท่านั้น
4. แบบ Serial ATA
       เป็นอินเทอร์เฟซที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และอีกไม่นานจะพลัดใบเข้าสู่ความเป็น Serial ATA II ซึ่งเมื่อการเชื่อมต่อในลักษณะParallel ATA หรือ E-IDE เริ่มเจอทางตันในเรื่องของความเร็วที่พัฒนาอย่างไรก็ไม่ทัน SCSI ซะที และอีกสาเหตุมาจากสายแพแบบ Parallel ATA เพื่อการส่งผ่านข้อมูลนั้นมีขนาดความกว้างถึง 2 นิ้ว และเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ตอนนี้อินเทอร์เฟซแบบ Parallel ATA ก็เริ่มเจอทางตันแล้วเหมือนกัน เมื่ออัตราความเร็วในปัจจุบันทำได้สูงสุดเพียงระดับ 133 เมกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้บรรดาผู้ผลิต Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ต่างพากันหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีต่อเชื่อมรูปแบบแบบใหม่ที่เรียกว่า Serial ATA กันเป็นแถว โดยให้อัตราความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลขั้นแรกสูงสุดถึง 150 เมกะไบต์ต่อวินาที โดยเทคโนโลยี Serial ATA นี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มผู้พัฒนา Serial ATA ซึ่งได้เผยข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับ Serial ATA 1.0 ขึ้น ด้วยคาดหวังว่าจะสามารถ ขยายช่องสัญญาณ (Bandwidth) ในการส่งผ่านข้อมูลได้เพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า และยังรองรับข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น ไม่เฉพาะ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เพียงเท่านั้นที่จะมีการเชื่อมต่อในรูปแบบนี้ แต่ยังรวมไปถึง อุปกรณ์ตัวอื่นๆ อย่าง CD-RW หรือ DVD อีกด้วย
        และด้วยการพัฒนาของ Serial ATA นี้เอง ที่จะทำให้ลดปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง CPU ความเร็วสูงกับตัว Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ลงได้ โดยสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วของระบบที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ Serial ATA จึงกลายเป็นความหวังใหม่ สำหรับการเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลของฮาร์ดไดรฟ์ (Hard Drive) ในอนาคต นอกจากนี้ Serial ATA ยังแตกต่างจากฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้อินเทอร์เฟซ Parallel ATA ซึ่งเป็นแบบขนานอย่างชัดเจน เพราะอินเทอร์เฟซ Serial ATA นี้ มีการกำหนดให้ฮาร์ดไดรฟ์ตัวไหนเป็น Master (ตัวหลัก) หรือ Slave (ตัวรอง) ผ่านช่องเชื่อมต่อบนเมนบอร์ดได้เลย ลดความยุ่งยากในการติดตั้งลงไปได้มาก อีกทั้ง Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ประเภทนี้บางตัวยังรองรับการถอดสับเปลี่ยนโดยทันที (Hot Swap) ทำให้การเชื่อมต่อในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน




ฮาร์ดดิสก์แบบพิเศษ 
นอกจากฮาร์ดดิสก์แบบพื้นฐานที่มีจำหน่ายทั่วไปแล้ว ยังมีฮาร์ดดิสก์อีกกลุ่มหนึ่งที่ผู้ผลิตจัดทำออกมาเป็นพิเศษ เพื่องานหรือความต้องการที่แตกต่างออกไป โดยมีตั้งแต่
ฮาร์ดดิสก์ที่มี NCQ หรือที่เรียกว่า Native Command Queuing ซึ่งข้อดีของฮาร์ดดิสก์ที่มีเทคโนโลยีนี้คือ การปรับปรุงการจัดเรียงข้อมูลและการอ่านข้อมูลแบบใหม่ โดยมองชุดข้อมูลที่เป็นแบบเดียวกัน รวมไว้ในจุดเดียวกัน จึงทำให้การอ่านข้อมูลมีความเร็ว ด้วยการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบยิ่งขึ้น
ฮาร์ดดิสก์ประเภทสวยงาม ในแบบดังกล่าวนี้ Raptor X จากค่าย WD เป็นต้นแบบ ด้วยการผลิตให้ฝาด้านบนนี้ความใส จนมองเห็น Platter และ Spindle หมุนทำงานอยู่ เหมาะสำหรับเกมเมอร์หรือนักแต่งเคสที่ชอบความสวยงามแปลกใหม่แต่ราคาก็มหาโหดเช่นกัน
ฮาร์ดดิสก์สุดอึด ปัจจุบันมีงานหลายส่วนที่มักใช้คอมพ์ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่องนี้เอง มีส่วนทำให้อายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์สั้นลง ดังนั้นแล้วจึงมีการออกแบบฮาร์ดดิสก์ที่เรียกว่า Enterprise หรือที่เรียกว่า 24/7 ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีความทนทานสูง ใช้งานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยมีฮาร์ดดิสก์จาก WD ในรหัส RE และ Seagate Barracuda ES ทำตลาดอยู่
สุดท้ายจะเป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับเกมเมอร์โดยเฉพาะจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ มีบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่มากถึง 32MB ซึ่งปกติจะมีเพียง 8MB หรือ 16MB เท่านั้น โดยมีในฮาร์ดดิสก์จากค่าย Seagate Barracuda 7200.11 ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ถือว่าสูงมากนัก

ทำไมจึงต้อง Serial ATA 
       ประสิทธิภาพของการถ่ายโอนข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากอินเทอร์เฟซที่บ่งบอกจุดต่างของค่าความเร็วได้ดี ตั้งแต่ USB, Parallel ATA, Serial ATA และ SCSI ด้วยสมรรถภาพความเร็วที่แกร่งขึ้นตามลำดับ ซึ่งการใช้งาน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) บนพีซีหรือเครื่องเวิร์คสเตชั่นมักมองอินเทอร์เฟซ Parallel ATA และ Serial ATA เป็นสำคัญ แต่ ณ ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อ Parallel ATA จะถูกแทนที่ด้วย Serial ATA ด้วยเหตุผลที่เป็นปัญหาคอขวดอยู่นั้นก็คือมาตรฐานความเร็วของการถ่ายโอนข้อมูลบนคอนโทรลเลอร์ขนาด 40 พิน แม้จะสามารถทำเส้นทางรับ-ส่งเป็น 80 เส้นความเร็วก็ทำได้ไม่เกิน 133 เมกะไบต์ต่อวินาที ขณะที่ Serial ATA ที่มากับขนาดของสายรับ-ส่งสัญญาณที่น้อยนิดเพียง 7 พิน พร้อมอัตราเร็วขั้นต้นของ Serial ATA ในเฟซแรกที่ 1.5 กิกะบิตต่อวินาที และสิ่งที่จะมาบดบังรัศมีของ Parallel ATA อย่างเต็มตัวก็คืออีกศักยภาพของ Serial ATA ด้วย Serial ATA II กับมาตรฐานความเร็ว 3.0 กิกะบิตต่อวินาที ซึ่งแรงขึ้นอีกเท่าตัว โดยก่อนหน้าที่จะกำเนิด Serial ATA II แบบเต็มตัวนั้นสิ่งที่มาก่อนก็คือการรองรับเทคโนโลยี Native Command Queuing หรือ NCQ ที่มีเฉพาะ Serial ATA เท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ได้จากเทคโนโลยี NCQ ก็คือความรวดเร็วในการเรียงชุดคำสั่งแบบใหม่ที่เลือกคำสั่งที่ใกล้ก่อนทำให้สมรรถภาพการทำงานของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) และระบบเร็วขึ้น (ทำงานคล้ายลิฟท์)
ความแตกต่างของ Parallel ATA และ Serial ATA 

       สำหรับ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่มีการเชื่อมต่อบนมาตรฐาน Parallel ATA นั้นโดยปกติแล้วถูกออกแบบในสถาปัตยกรรมแบบเก่าที่ออกแบบเหมือนกับ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) รุ่นก่อนๆ สืบทอดกันมา เพียงแต่ปรับเปลี่ยนการทำงานอาทิ ความเร็วรอบการหมุนจานดิสก์ของมอเตอร์จาก 3200 รอบต่อนาที มาเป็น 5400 รอบต่อนาที และจาก 5400 รอบต่อนาที มาเป็น 7200 รอบต่อนาที ปรับเปลี่ยนการส่งข้อมูลจาก PIO มาเป็น DMA และ Ultra DMA โดย DMA ในที่นี้หมายถึงระบบการถ่ายโอนข้อมูลของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่แต่ละครั้งสามารถบรรทุกข้อมูลจาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ไปสู่แรมได้เลยโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวการทำงานของซีพียู ทำให้เกิดการถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า PIO เพราะ PIO นั้นการถ่ายโอนข้อมูลในแต่ละครั้งจำต้องผ่านการประมวลผลจากซีพียูเสียก่อน ส่งผลให้กว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการมีความล่าช้ามาก
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนสายแพจาก 40 เส้น มาเป็น 80 เส้นปรับมาตรฐานจาก IDE ไปสู่ระบบ E-IDE ซึ่งให้ค่าทางประสิทธิภาพการทำงานที่มากกว่าเดิม การปรับเปลี่ยนดังกล่าวสามารถที่จะทำให้ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ทำงานได้เร็วขึ้นก็จริงอยู่ แต่เมื่อมานั่งพิจารณาดูแล้วการทำงานที่ยังยึดมั่นอยู่กับสถาปัตยกรรมแบบเก่าบนมาตรฐาน Parallel ATA มักทำให้ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่มีอินเทอร์เฟซแบบ E-IDE ยังห่างไกลจากระบบของ SCSI ของระบบเครือข่ายอยู่ดี อีกทั้งการพัฒนาของระบบ E-IDE ยังเป็นปัญหาคอขวดที่ไม่สามารถพัฒนาให้เร็วพอได้ เช่น 33 เมกะไบต์ต่อวินาที, 66 เมกะไบต์ต่อวินาที, 100 เมกะไบต์ต่อวินาที, 133 เมกะไบต์ต่อวินาที ระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นต่างกันไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบการถ่ายโอนข้อมูลแบบ SCSI ที่เป็นแบบ Ultra160 เมกะไบต์ต่อวินาที, Ultra 320 เมกะไบต์ต่อวินาที ดังนั้นบริษัทผู้ผลิต Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ทั้งหลายจึงได้คิดค้นที่จะทำการปรับเปลี่ยนระบบการส่งข้อมูลของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) แบบใหม่ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Serial ATA เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการถ่ายโอนข้อมูล
การส่งข้อมูลแบบ Parallel ATA
0------------>
0------------>
0------------>
0------------>
1------------>
0------------>
1------------>
1------------>
การส่งข้อมูลแบบ Parallel ATA นั้นจะส่งข้อมูลในแต่ละบิตแบบขนานกันไปแล้วนำข้อมูลที่ได้ในแต่ละสายสัญญาณมารวมกันเป็น (0 0 0 0 1 0 1 1 ) ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลในระบบแบบเก่าจนถึงปัจจุบันที่ก็ยังเป็นแบบ IDE และ E-IDE โดยใช้สายนำสัญญาณแบบ 40 เส้นและ 80 เส้น
การส่งข้อมูลแบบ Serial ATA
0 0 0 0 1 0 1 1 ------>
0 0 0 0 1 0 1 1 ------>
หากเป็นการส่งข้อมูลในแบบ Serial ATA ที่มีความเร็วตีคู่ SCSI โดยใช้สายสัญญาณ 7 เส้น ช่วยให้ระบบการทำงานสามารถที่จะเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลได้มากถึง 1.5 กิกะบิตต่อวินาที และต่อไปความเร็วจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 3.0 กิกะบิตต่อวินาที หรือมากกว่าในอนาคต อีกทั้งในปัจจุบันอินเทอร์เฟซนี้ยังแฝงไว้ด้วยเทคโนโลยี NCQ ที่ช่วยให้ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ฉลาดขึ้นในการส่งผ่านข้อมูลเพราะส่งต่อกันเป็นทอดๆ โดยหากเป็นข้อมูลชุดเดียวกันจะเข้าหาก่อนโดยไม่สนใจเรื่องคิวรันกันต่อเนื่อง จากที่กล่าวมาจึงสรุปได้เลยว่า คุณสมบัติของอินเทอร์เฟซ Serial ATA นั้นมีการทำงานที่เร็วกว่า Parallel ATA อีกทั้งต่อไปอินเทอร์เฟซนี้จะเป็นแกนหลักบนเมนบอร์ดแทนที่ IDEและ E-IDE ซึ่งเหมาะสมทั้งการใช้งานบนเครื่อง PC และ ระบบเครือข่ายขนาดย่อมที่มีงบประมาณไม่มาก หากคุณได้ลองสัมผัสดูแล้วจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปครับ
เทคโนโลยี Native Command Queuing (NCQ)
       สำหรับอินเทอร์เฟซ Serial ATA จัดเป็นเทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลความเร็วสูงและกำลังจะกลายเป็นอินเทอร์เฟซมาตรฐานบน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ของพีซีในปี 2005 ซึ่งเทคโนโลยี Native Command Queuing เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในกระบวนการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ปี 2005 ด้วยเช่นกัน
โดยเทคโนโลยี NCQ จะช่วยให้ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ไดร์ฟมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ด้วยความสามารถในการปรับปรุงและจัดเรียงชุดคำสั่งใหม่ทั้งในกระบวนการอ่านและบันทึกข้อมูล เพื่อให้ไดรฟ์มีความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด สมมติว่าข้อมูลชุดเดียวกันมีการกระจายข้อมูลอยู่เต็ม Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ไปหมด การเรียกใช้งานจึงเริ่มจาก 4 – 3 – 2 และ 1 ทำให้กว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการมาจนครบมักเกิดความล้าช้าไปพอสมควร แต่ถ้าหาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) Serial ATA ตัวนั้นมีเทคโนโลยี NCQ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฟสแรกของ Serial ATA II และสามารถใช้งานร่วมกับ Serial ATA 1.0 ได้ กระบวนการทำงานจะมองว่าหากข้อมูลชุดนั้นเป็นชุดเดียวกัน จะรวมเอาจุดที่ใกล้กันไว้ก่อนโดยตัดลำดับความน่าจะเป็นออกไป ทำให้ว่องไวต่อการเรียกใช้งานมากขึ้น
จากที่กล่าวมาเป็นความแตกต่างระหว่างอินเทอร์เฟซ ซึ่งในการเลือกซื้อ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ไดรฟ์เราจะเลือกเพียงแค่จุดนี้เพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องมององค์ประกอบทางด้านอื่นๆด้วย อันได้แก่
ขนาดความจุของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) 
เรื่องขนาดความจุของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) นี้ค่อนข้างตัดสินใจได้ง่าย ซึ่งมีตัวเลขที่ระบุไว้ตามลาเบลไว้อย่างชัดเจน ปัจจุบันขนาดความจุที่มีจำหน่ายกันอยู่ที่ ระดับกิกะไบต์ เช่น 20, 30, 40, 60 ไปจนถึง 400 กิกะไบต์ แน่นอนเมื่อปริมาณความจุที่สูงขึ้นย่อมส่งผลให้ราคาต้องขยับตัวสูงตามไปด้วย สำหรับขนาดที่ ควรจะซื้อหามาใช้ในปัจจุบัน ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และไม่ควรเพื่อพื้นที่ไว้ใช้งานมากจนเกินจำเป็น เพื่อประหยัดงบประมาณในกระเป๋าท่าน ได้อีกทางและสามารถที่จะใช้พื้นที่บน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ได้อย่างคุ่มค้าอีกด้วย
ความเร็วรอบ
ความเร็วรอบสำคัญไฉนสิ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดเจนก็คือการหมุนของวงล้อรถหากซอยถี่มากเท่าใด จะย่นระยะเวลาไปยังจุดหมายปลายทางมากขึ้นเท่านั้น ในทำนองเดียวกันกับ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่เมื่อความเร็วรอบยิ่งถี่เพียงใด จะทำให้ประสิทธิภาพในการเข้าถึงหรือค้นหาข้อมูลมีความรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันความเร็วรอบในการหมุนจานดิสก์มมาตรฐานพีซีและแล็บท็อปส่วนใหญ่มาอยู่ที่ 7,200 รอบต่อนาที (3.5 นิ้ว) และ5,400 รอบต่อนาที (2.5 นิ้ว) นอกจากนี้การใช้งานที่สูงขึ้นไปอีกในระดับเอ็นเทอร์ไพช์อย่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์และเวิร์คสเตชั่น ความเร็วรอบในการหมุนที่จัดจ้านถึงระดับ 10,000 - 15,000 รอบต่อนาที ดูจะเหมาะกว่า เนื่องจากการใช้งานระดับการเข้าถึงและเรียกใช้มีความสำคัญมาก
หน่วยความจำบัฟเฟอร์
อีกวิธีที่ผู้ผลิต Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ในปัจจุบัน คือการใช้หน่วยความจำแคช หรือบัฟเฟอร์ (Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยัง คอนโทรลเลอร์บนการ์ด หรือเมนบอร์ด สำหรับหน่วยความจำแคชที่ว่านี้จะทำงานร่วมกับ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) โดยในกรณีอ่านข้อมูล ก็จะอ่านข้อมูลจาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ในส่วนที่คาดว่าจะถูกใช้งานต่อไปหรือมีการเรียกใช้งานบ่อยครั้ง มาเก็บไว้ล่วงหน้า ส่วนในกรณีบันทึกข้อมูล ก็จะรับข้อมูลมาก่อน เพื่อเตรียมที่จะเขียนลงไปทันทีที่ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ว่าง แต่ทั้งหมดนี้จะทำอยู่ภายในตัว Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับซีพียูหรือแรมแต่อย่างใด หน่วยความจำแคชนี้ใน Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) รุ่นเก่าๆ ราคาที่ถูกมักจะมีขนาดหน่วยความจำเล็กตามลงไป เช่น 128 กิโลไบต์ หรือบางยี่ห้อก็จะมีขนาด 256-512 กิโลไบต์ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ราคาสูงขึ้นมา(ปัจจุบันนิยม) จะมีการเพิ่มจำนวนหน่วยความจำนี้เป็น 2 เมกะไบต์ไปจนถึง 8 เมกะไบต์ เลยทีเดียว ซึ่งจากการทดสอบพบว่า การมีขนาดหน่วยความจำแคช หรือ บัฟเฟอร์ที่เพิ่มขึ้น มีส่วนช่วยให้การทำงานของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้กลไกการทำงานของ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) รุ่นนั้นๆ จะช้ากว่าก็ตาม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของโปรแกรมที่มีการเรียกใช้งานด้วยว่ามีการดึงทรัพยากรของระบบมากน้อยเพียงไร
การรับประกัน
อย่าลืมว่า Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เป็นอุปกรณ์ที่ต้องทำงานตลอดเวลาที่มีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ มีการเคลื่อนไหวต่างๆมากมายอยู่ภายในไดรฟ์และโอกาสที่จะเสียหายมีได้มาก โดยเฉพาะเรื่องของความร้อนและการระบายความร้อนที่ไม่ดีในเครื่อง ก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียหาย นอกจากนี้การเกิดกระแทกแรงๆ ก็เป็นสาเหตุหลักของการเสียหายที่พบได้บ่อยครั้ง ดังนั้น ปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญในการเลือกซื้อ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) คือ เรื่องระยะเวลาใน การรับประกัน สินค้า และระยะเวลาในการส่งเคลม โดยสังเกตจาก Void รับประกัน ซึ่งห้ามแกะออกเป็นเด็ดขาดไม่อย่างนั้นอาจทำให้ท่านเสียใจเพราะส่งเคลมไม่ได้
โดยทั่วไปแล้ว Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันอยู่ในช่วง 1 หรือ 3 ปี ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้ผลิตบางราย เช่น Seagate ปรับเปลี่ยนระยะเวลาโดยขยายเป็น 5 ปี จุดนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่มีให้ผู้ใช้อุ่นใจ ดังนั้นการเลือกซื้อควรเลือกระยะเวลารับประกันนานหน่อยเพราะคุ้มค่ากว่าการซื้อ Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) มาเปลี่ยนใหม่ เนื่องจาก Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ที่เราจะนำใช้งานนั้น หาความแน่นอนไม่ได้ วันดีคืนดีHard Disk (ฮาร์ดดิสก์) เจ้ากรรมอาจเสียลงไปดื้อๆ หากแต่ว่า Hard Disk (ฮาร์ดดิสก์) ของท่านยังอยู่ในช่วงรับประกันก็ยังอุ่นใจได้ เพราะสามารถส่งซ่อมหรือแลกเปลี่ยนได้ แต่การรับประกันจะไร้ค่าลงไปทันทีเมื่อสัญลักษณ์ของการรับประกันฉีกขาด หรือถูก ลอกออกไป ฉะนั้นควรระมัดระวังไว้ด้วย การรับประกันในที่นี้ก็อาจจะต้องดูด้วยนะครับว่าเป็นการรับประกันจากที่ไหน จากร้านค้า หรือว่าจากดีลเลอร์ต่างๆ โดยจุดนี้ให้ดูถึงความมั่นคงของร้านด้วย ซึ่งถ้าหากร้านเกิดปิดกิจการไปล่ะยุ่งเลยเพราะไม่สามารถที่จะส่งคืนได้
วิธีตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ได้อย่างง่ายๆ 
สามารถใช้โปรแกรม HD Tune ทดสอบประสิทธิภาพและความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ ด้วยการมอนิเตอร์ให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งดาวน์โหลดได้ที่ www.hdtune.xom หรือจะบริหารข้อมูลและไดรฟ์ได้ด้วยตัวเอง ผ่านระบบ Manage ของระบบวินโดวส์ ด้วยการเมาส์ขวาที่ My Computer จากนั้นเลือกหัวข้อ Manage

ที่มา
http://www.buycoms.com/buyers-guide/harddisk/index.asp
http://www.bcoms.net/buycomputer/harddisk.asp

Wednesday, July 11, 2012

ขั้นตอนการสมัคร Apple ID แบบไม่ผูกบัตรเครดิต (None credit card) ผ่าน iTunes [มือใหม่]


ขั้นตอนการสมัคร Apple ID แบบไม่ผูกบัตรเครดิต (None credit card) ผ่าน iTunes [มือใหม่]

เรารู้จัก Apple ID กันไปแล้ว และคงทราบแล้วว่า Apple ID จำเป็นต้องใช้งานกับ iPhoneiPad, iPod Touch อย่างไร รวมทั้ง Apple ID มีอีกแบบ คราวนี้เรามารู้วิธีการสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต หรือวิธีการทำให้มีตัวเลือก None เพิ่มมา ปกติเราสามารถสมัคร Apple ID ได้ผ่านทาง iPhone ,iPad, iPod Touch หรือผ่านทาง iTunes ก็ได้ ซึ่งวันนี้เรามารู้จักวิธีการสมัครผ่าน iTunes กันก่อนดีกว่า

วิธีการสมัคร Apple ID แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิตผ่าน iTunes

หมายเหตุ : เราสามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้ง US Store และ TH Store เพียงแค่เปลี่ยน Store location ตามต้องการ
โปรดทราบ :
* ถ้ามี Apple ID ที่เคยลงทะเบียนกับเวป Apple.com อยู่แล้วจะทำตามนี้ไม่ได้ เพราะแอปเปิบตะให้ใส่เลขบัตรตลอดไม่มีให้เลือก None เราต้องสร้าง Apple ID ใหม่เท่านั้นถึงจะมี None Option ให้เลือก
* ถ้าอยากใช้อีเมลเดิม ที่เคยสมัคร Apple ID ไปแล้ว ให้สมัคร Apple ID ใหม่ไปก่อน แล้วค่อยสลับอีเมล์ทีหลังได้ 
1. ดาวน์โหลด iTunes เวอร์ชันล่าสุด 
2. เรียกโปรแกรม  iTunes ขึ้นมา แล้วเลือก Store –> iTuens Store ตามภาพ
create-itunes-id-none-credit-card-1
3. ที่มุมด้านล่างขวาของโปรแกรม iTunes ให้สังเกตจะมี วงกลมธงประเทศอยู่ เราสามารถเลือกสมัคร US Store หรือ TH Store ได้ (ความแตกต่างอ่านตรงนี้)  ให้คลิกที่วงกลมรูปธงชาติ เพื่อเลือก Store ตามต้องการ
create-itunes-id-none-credit-card-4
4. เลือก United States หรือ Thailand ตามต้องการ
create-itunes-id-none-credit-card-3
create-itunes-id-none-credit-card-5
5. เลือกประเทศเรียบร้อยแล้ว ให้สังเกตด้านขวาจะมี Free Apps chart อยู่ ให้เลือกแอพไหนก็ได้ สักหนึ่งแอพ โดยกด “Free” ดังรูป
create-itunes-id-none-credit-card-7
6. iTunes จะให้เราเลือก Create หรือ Sign In ให้เลือก Create New Account ตามรูป
create-itunes-id-none-credit-card-6
7. ในกรณีเลือกเป็น TH Store ก็จะเป็นข้อความภาษาไทย ให้กด “Continue”
create-itunes-id-none-credit-card-8
8. ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกตามภาพ แล้วกด “Agree” เพื่อตกลงตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของทางแอปเปิล
create-itunes-id-none-credit-card-9
9. ให้ใส่ข้อมูลต่างๆ เพื่อสมัคร Apple ID ดังนี้
email : ใส่อีเมลที่เราใช้ประจำ
password :  มีข้อกำหนดดังนี้ รหัสผ่านต้องมีจำนวน 8 ตัวอักษรขึ้นไป โดยต้องมีตัวอักษรยกแคร่ อย่างน้อยหนึ่งตัว และต้องมีตัวเลขผสมอยู่ในรหัสผ่าน อย่างน้อยหนึ่งตัวเลข ตัวอย่างรหัสผ่าน เข่น January1
create-itunes-id-none-credit-card-a 
Question & Answer : เป็นคำถามกันลืมรหัสผ่าน คำถามให้เราใส่ข้อความอย่างน้อย 6 ตัวอักษร ส่วนคำตอบไม่ได้กำหนด
Birthday : ให้ใส่วันเดือนปีเกิดตามจริง (แต่ถ้าอายุน้อยกว่ากำหนด แอปเปิลอาจจะไม่ยอมรับได้)

create-itunes-id-none-credit-card-b
Billing Address : ให้ใส่ Mr/Miss/Mrs ด้วย ชื่อและที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ สำหรับ TH Store ไม่ค่อยมีปัญหา แต่สำหรับ US Store ให้เราใส่ข้อมูลให้ถูกต้อง (แม้จะใส่ที่อยู่หลอกๆ ก็ตาม) โดย State และ Zip code ต้องถูกต้อง และเบอร์โทรศัพท์ ต้องเป็นเลขหมายในอเมริกา (เทคนิค : ให้ใช้ ที่อยู่ ของทาง Apple หรือ ใช้ของโรงแรมใด ๆ ใน อเมริกาก็ได้) เช่น
Apple
1 Infinite Loop
Cupertino, CA 95014
408.996.1010
create-itunes-id-none-credit-card-d
ใส่ข้อมูลครบถ้วนแล้วให้กด “Continue”
10. ถ้าเราทำขั้นตอนมาถูกต้องแล้ว ตัวเลือก “None” จะปรากฎออกมา ให้เรากดเลือกตามภาพ

create-itunes-id-none-credit-card-c
11. แล้วกด “Create Apple ID”
create-itunes-id-none-credit-card-e
12. ทางแอปเปิลจะส่ง verification email หรือจดหมายยืนยันการสมัคร ไปยังอีเมลที่เราสมัคร
create-itunes-id-none-credit-card-f
13. ให้เราไปเช็คอีเมล ที่มาจากทาง apple.com แล้วกด verify link โดยกดลิงค์ที่มาจากhttps://buy.itunes.apple.com/xxxxxx/ ประมาณนี้ ก็เป็นอันเรียบร้อย เราสามารถ signin เข้าใช้งานได้แล้ว


Tuesday, July 10, 2012

ipad iphone ติด recovery mode

คราวนี้เรามาดูขั้นตอนของวิธีการแก้ไข Error 3194 และ 1013 อีกวิธีกันครับ 1. ก่อนอื่นโหลดโปรแกรม Tiny Umbrella มาก่อนครับมีทั้งเวอชัน Windows และ Mac http://thefirmwareumbrella.blogspot.com/ Note : สำหรับเครื่องที่ใช้วินโดวต้องมี Java และอย่าลืมปิดโปรแกรม Skype ด้วยนะครับ 2. เปิดโปรแกรมขึ้นมา จากนั้นเลือกที่แถบ advanced 3. เอาเครื่องหมายถูกหน้า Set host to Cydia on exit ออก 4. เลือก Apply changes 5. Restart PC หรือ Mac ขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้ท่านแก้ไขปัญหา error 3194 และ 1013 ได้แล้วครับ

Saturday, July 7, 2012

การตรวจสอบเมื่อซื้อ samsung galaxy S 3

วิธีตรวจ ทดสอบเครื่องก่อนซื้อ (Test)
กด *#0*# จากนั้นก็กด ทดสอบได้เลยครับ(รูปประกอบข้างล่าง)